วันนี้ (30 ตุลาคม 66 ) ทางศาลจังหวัดมุกดาหารได้แจ้งเลื่อนการอ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ซึ่งเดิมกำหนดอ่านคำพิพากษาวันที่ 31 ต.ค. เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจร่างคำพิพากษา จึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปปลายเดือนธันวาคม 2566 ตามวันว่างของคู่ความ ซึ่งทางศาลจังหวัดมุกดาหารได้แจ้งเลื่อนการอ่านคำพิพากษาให้แก่สื่อมวลชนที่ขออนุญาตมาทำข่าวในวันดังกล่าวแล้ว เนื่องจากเกรงจะเป็นที่เสียหายแก่สื่อมวลชนที่ต้องจัดเตรียมคนและอุปกรณ์เดินทางมาทำข่าว

 

ขณะเดียวกันทีมข่าวได้เดินทางไปที่วังปู่ปาริจิตร อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ซึ่งเป็นที่อยู่ใหม่ของนายไชย์พล วิภา ลุงเขยน้องชมพู่ และนางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าแต๋น ป้าของน้องชมพู่

 

เมื่อทีมข่าวไปถึงพบว่า ลุงพลยังลงสีพระพรหมยังไม่เสร็จ คาดว่า น่าจะเสร็จหลัง 31 ต.ค.นี้ โดยลุงพลมีกำหนดจะเดินทางไปรับทีมทนายความที่สนามบิน จ.นครพนม วันนี้เวลา 19.30 น.

 

ต่อมาทีมข่าวได้สอบถามทั้งสองคน ถึงความรู้สึก ซึ่งยอมรับว่า ตอนแรกที่ตกเป็นผู้ต้องหา ก็กังวลใจเพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการในการพิจารณาคดี แต่เมื่อได้เข้าสืบพยานทุกปากเสร็จสิ้นก็สบายใจ เพราะอยากพิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรม

 

3 ปีที่ผ่านมาชีวิตของตนเองเปลี่ยนไปมาก จากชาวบ้านธรรมดาเป็นเซเลปที่มีคนติดตามชีวิตตนเองและป้าแต๋นตลอดเวลาเพื่อให้คนเห็นว่าชีวิตลุงกับป้าเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม โดยยอมรับว่า มีบางช่วงที่คิดถึงน้องชมพู่ เพราะก็เคยดูแลมาตลอด ถึงแม้จะจากไปแล้วก็ยังเป็นลูกหลาน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูล

 

“ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ผมรู้สึกว่าเป็นแพะรับบาปในคดีนี้ แต่กระบวนการยุติธรรมจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าตัวเองผิดจริงหรือไม่ ซึ่งผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่า วันที่น้องชมพู่หายตัวไป ผมไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน ที่ผ่านมาเราใช้เงินในการต่อสู้คดีนี้จำนวนมาก (7 หลัก) ซึ่งหากคำสั่งศาลออกมาเป็นแบบใด เราทั้งสองก็จะสู้ให้ถึงที่สุด และเชื่อว่าไม่ว่าจะออกในแนวทางไหนคดีนี้น่าจะต้องสู้ในถึง 3 ศาล แต่หากพิสูจน์ว่าผมและป้าแต๋นไม่ผิด ก็จะปรึกษาทีมทนายว่าจะดำเนินการอย่างไร และจะเรียกร้องให้กับสิ่งที่สูญเสียไปไหม ก็ต้องดูอีกที แต่ตามหลักมนุษยชนแล้วก็ควรทำ”

 

สำหรับเรื่องที่ทนายของตนเอง ให้สัมภาษณ์ พูดว่าน้องชมพู่อาจเดินตามสุนัข (ปลาส้ม) และขึ้นไปเสียชีวิตเองบนภูเหล็กไฟ ลุงพลยืนยันอีกครั้งว่า ตอนแรกที่ตนเองไปพบศพน้องจุดนั้น ทั้งสูงและขึ้นเขายากมาก แต่เมื่อผ่านเวลาไป ตนเองได้มาย้อนคิดทบทวน ก็เปรียบเทียบ ขนาด ยายอุ่น หรือ ชาวบ้านอายุกว่า 60 ปี ยังเดินขึ้นไปเจอรองเท้าน้องได้เลย ตนเองก็คิดว่า น้องชมพู่ก็อาจจะเดินขึ้นเขาตามหมาไปได้เหมือนกัน ประกอบกับได้ฟังผู้เชี่ยวชาญเด็กหลายๆคน ก็บอกว่า อาจมีความเป็นไปได้ ตนเองก็เชื่อแบบนั้น

 

ส่วนป้าแต๋น ภรรยาลุงพล บอกว่า ตนเองหลังจากตกเป็นจำเลย ตนเองยังไม่ได้พูดคุยกับฝั่งแม่ของน้องชมพู่เลย จากที่เคยพูดคุยกันได้ โดยที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่ลุงกับป้าที่ได้รับผลกระทบ แต่ลูกชาย 2 คน ก็ถูกเพื่อนที่โรงเรียนถาม ซึ่งตอนแรก ๆ เด็กไม่เข้าใจ แต่เมื่อรู้ว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่กระทบกับพวกเขา ตรงกันข้าม เด็กๆ ออกตัวปกป้องด้วยซ้ำ

 

ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับทนายเกิดผล แก้วเกิด มองคดีน้องชมพู่ที่จะมีคำคัดสินในวันที่ 31 ตุลาคมนี้แล้ว ว่า “ดีเอ็นเอ” คือหลักฐานมัดลุงพล หากไม่มีดีเอ็นเอ ลุงพลรอดคดีหรือไม่

 

เรื่องนี้ทนายเกิดผล ให้ข้อมูลว่า โดยปกติในคดีอาญา ส่วนใหญ่ศาลจะดูจากประจักษ์พยาน แต่พยานหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดคือนิติวิทยาศาสตร์ แต่ปัญหาคือคดีนี้ ประจักษ์พยานที่รู้เห็นกับตาจริงๆ ว่าลุงพลเอาเด็กไป และปล่อยให้เด็กตายนั้นมีหรือไม่ แต่เท่าที่รู้ยังไม่มี มีแค่คนที่รู้ช่วงเวลาที่เด็กหายตัวไป

 

ถ้าไม่มีประจักษ์พยาน ศาลดูจากตรงไหน ตรงนี้ต้องดูจากนิติวิทยาศาสตร์ ดูจากวัตถุพยานต่างๆ รวมทั้ง “ดีเอ็นเอ” ซึ่งคำว่า “ดีเอ็นเอ” ไม่ได้หมายความว่า เจอหรือไม่เจอ จะผิด หรือ จะพ้นผิด ต่อให้มีดีเอ็นเอ ไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นเป็นฆาตกรเสมอไป ส่วนกรณีไม่เจอดีเอ็นเอ ไม่ได้แปลว่า คนๆ นั้นไม่ได้ทำผิด เพราะบางครั้งบางคดี ไม่เจอดีเอ็นเอ แต่ก็จับคนร้าย เพราะอาศัยหลักฐานอื่นประกอบกัน

 

แต่ยอมรับว่าในคดีนี้ ถ้าไม่มีพยานบุคคลและดีเอ็นเอ ทนายยอมรับว่า ฟังยากแล้ว แต่มีหรือไม่มี “ดีเอ็นเอ” ทนายไม่ได้ให้น้ำหนักตรงนี้มาก เพราะสมมติว่ามีดีเอ็นเอของน้องชมพู่ ติดอยู่กับลุงพล รวมทั้งในบ้าน หรือในรถ ตนไม่แปลกใจเพราะลุงพลกับน้องชมพู่ เป็นเรื่องของความใกล้ชิด ลุงแตะหลาน ย่อมมีดีเอ็นเอติดร่างกาย หรือ สิ่งของอยู่แล้ว

 

สิ่งสำคัญ คือ พยายหลักฐานอะไรที่ชี้ชัดว่าลุงพลได้กระทำความผิดหรือไม่ การเจอ หรือไม่เจอดีเอ็นเอก็ไม่ได้หมายความว่าลุงพลจะทำผิด เพราะที่ผ่านมาลุงพลสู้เพื่อความบริสุทธิ์ โดยเจ้าตัวอ้างฐานที่อยู่ อ้างว่าไม่ได้อยู่ตอนน้องชมพู่หายตัว ซึ่งตนมองว่าเจ้าตัวจะสู้ในแนวทางนั้น

ลุงพล พ้อสู้คดีเสียเงินล้านส่อเป็นแพะ ทนายดังไขคำตอบ "ดีเอ็นเอ" ทำพลิก?