กรณีผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านผู้หญิงคบหากับสมาชิกเทศบาล โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนกัน แต่มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งลูกสาวคนโตอายุ 24 ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 14 ปี และพบว่าช่วงหลังเกือบ 20 ปีที่คบหากัน ถูกสมาชิกเทศบาลคนดังกล่าว ทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด และข่มขู่ว่าถ้าหากไปแจ้งความครอบครัวก็จะเดือดร้อนและทุกคนก็จะอยู่เป็นสุข เจ้าตัวจึงตัดสินใจไปร้องกับมูลนิธิปวีณาหงษ์สกุล เพื่อที่จะให้ช่วยเหลือ ให้ชายคนดังกล่าวเลิกยุ่ง ประกอบกับอยากจะออกมาใช้ชีวิตเลี้ยงดูลูกตามลำพัง
ปวีณาพาผู้เสียหายแจ้งความ หลังโดนทำร้ายจนไส้ติ่งแตก
31 ต.ค. ที่ตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี นางปวีณา หงษ์สกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ พานางนิต (นามสมมติ) ผู้ใหญ่บ้านในฐานะผู้เสียหาย เดินทางมาพร้อมกับนางแหวน (นามสมมติ) อายุ 72 ปี แม่ของผู้ใหญ่บ้าน เดินทางมาพบกับผู้การจังหวัดนนทบุรี เพื่อร้องขอความเป็น และแจ้งความดำเนินคดีกับสมาชิกเทศบาลคนดังกล่าว ในฐานะสามีที่ไม่ได้จดทะเบียน แต่มีพฤติกรรมทำร้ายร่างกายและข่มขู่ , โดยการเดินทางมาในวันนี้ได้มีการเตรียมหลักฐานไม่ว่าจะเป็นแชทการข่ม ซึ่งอ้างว่า”จะนำปืนมายิง“ ประกอบกับรายละเอียดคำให้การให้ ซึ่งได้นำมามอบให้กับทางผู้การจังหวัดนนทบุรี ในการแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกับสมาชิกเทศบาลคนดังกล่าว
นางนิต (นามสมมติ) ผู้ใหญ่บ้าน ในฐานะผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเองคบหาและรู้จักกับสมาชิกเทศบาลคนดังกล่าว ตั้งแต่สมัยที่เป็นวัยรุ่นด้วยกัน และต่างฝ่ายต่างไม่ได้มีตำแหน่งทางปกครองหรือตำแหน่งในเทศบาลท้องถิ่น และตนเองก็คบหากับสมาชิกเทศบาลคนดังกล่าวเกินกว่า 20 ปี เพราะลูกลูกคนแรกก็อายุ 24 ปีแล้ว แต่การคบหากันนั้นก็อยู่กันฉันผัวเมียเมีย แต่ไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรส และเหตุผลที่ตนเองไปรู้จักกับผู้ชายคนดังกล่าว เป็นเพราะว่าสมัยวัยรุ่นถูกบังคับขืนใจ (ข่มขืน) จนกระทั่งตั้งท้อง และได้ตกลงปลงใจกันที่จะอยู่กินฉันผัวเมีย ซึ่งในสมัยนั้นตัวของสมาชิกเทศบาลก็ดูแลตนเองปกติ แต่ช่วงหลังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป และเข้าใจผิดหรือมีอาการหึงหวง จนเป็นเหตุทำให้ตนเองถูกทุบตีและถูกเตะซ้อมมาตลอด 20 ปี
และเหตุการณ์ที่ตนเองถูกทำร้าย ในตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเหตุการณ์ครั้งไหน ที่ทำร้ายตัวเองแล้วไม่เลือดตกยางออก ตนเองมักจะได้เลือดแล้วพกช้ำทุกครั้ง และครั้งที่หนักสุด หลายปีที่ผ่านมา ทะเลาะกันถึงขั้นถูกเตะไส้ติ่งแตก แม่ต้องห้ามส่งโรงพยาบาล แต่ส่วนสามีที่เป็นสมาชิกเทศบาลกลับไม่สนใจใยดี
สำหรับเหตุการณ์เมื่อวาน ช่วงเวลาบ่ายตนเองอยู่ระหว่างการประชุมประจำอำเภอ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย คือนายอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นประธานการประชุม แต่ได้ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับผู้ช่วยมีการประชุมผ่านออนไลน์ ซึ่งตนเองสามารถใช้มือถือเองในการเข้าร่วมประชุมได้ตามปกติ แต่ปรากฏว่ามีสารวัตรกำนันซึ่งเป็นผู้ชาย แต่ใช้มือถือหรือเข้าระบบไม่เป็น จึงได้มาให้ตนเองสอน ซึ่งระหว่างที่กำลังมีการประชุมและสอนเข้าระบบ ปรากฏว่าสามีซึ่งเป็นสมาชิกเทศบาลกลับมาถึงบ้านมาเห็น แล้วเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าตนเองมีสัมพันธ์หรือประเด็นเชิงชู้สาว จึงทำให้มีการเข้ามาก่อเหตุเตะทำร้ายสารวัตรกำนันที่กำประชุมและใช้ออนไลน์อยู่กับตนเอง จนกระทั่งแม่เดินเข้ามาห้าม ก็ถูกสามีล็อคคอแทง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ตนเองรับไม่ได้ และเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างมีความรุนแรง จึงทำให้ตนเองจึงตัดสินใจที่จะมาร้องกับมูลนิธิปวีณาเพื่อที่จะให้ช่วยเหลือ พร้อมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการดำเนินการตามข้อกฎหมาย เพราะหลังจากที่ตนเองถูกทำร้าย และแม่ถูกทำร้าย ตัวของสมาชิกเทศบาลก็ยังมีการข่มขู่ทำนองว่าจะเอาปืนมายิงมา และจะไม่ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข ตนเองจึงกลัวเรื่องของความปลอดภัยอย่างมาก
ขณะที่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสารวัตรกำนัน ขอยืนยันว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานและรู้จักกันในการทำงานเพื่อประชาชนเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือลึกซึ้งมากกว่านั้น แต่มันเกิดจากความเข้าใจผิดที่สามีที่เป็นสมาชิกเทศบาลเทศบาลเห็นว่าคนที่มานั่งให้สอนออนไลน์เป็นผู้ชายจึงเข้าใจผิดว่าจะมีสัมพันธ์กัน จึงทำให้เกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น
“สท.” แสดงความบริสุทธิ์ใจ พาทีมข่าวไปดูสถานที่เห็นเมียนั่งประชุมกับสารวัตรกำนัน พบเป็นบ้านร้างไม่ใช่ที่ที่ควรประชุม
วันเดียวกันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้เดินทางไปที่ตำบลย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านและพื้นที่ของสมาชิกเทศบาลเทศบาลคนดังกล่าว ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้ใหญ่บ้านที่เป็นภรรยาของตัวเอง
โดยทีมข่าวเดินทางไปเจอกับเจ้าตัว ซึ่งด้านนายเกียรติ (นามสมมติ) สมาชิกเทศบาล ในฐานะสามีของผู้ใหญ่บ้านผู้เสียหาย พาทีมข่าวเดินเดินเรียบกับคลองข้างบ้าน และข้ามสะพานไม้ ไปที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ซึ่งห่างจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านประมาณ 300 เมตร โดยบ้านร้างหลังดังกล่าวด้านหลังจะมีต้นมะม่วงซึ่งผูกเปลนอนเอาไว้
(มีภาพ พาไปดูบ้านร้าง)
สท.เกียรติ ผู้ถูกกล่าวหา ได้มีการจำลองเหตุการณ์และสาธิตให้ทีมข่าวดู ว่า สิ่งที่ตนเองมาเจอเมื่อวานนี้ช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. พบว่าตัวของนางนิต ภรรยาของสท. นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ที่เปลนอน และสารวัตรกำนันชายที่ตนเองกล่าวหา นั่งอยู่ที่พื้นกระสอบสีน้ำเงิน กำลังมีการเก็บผักช่วยแม่ของนางนิต มัดรวมกันเพื่อไปขาย และบรรยากาศบรรยากาศ ณ ตอนนั้น ไม่มีการตั้งมือถือเพื่อที่จะติดตามการประชุม และไม่ได้มีการประชุม เห็นแต่นางนิดภรรยานอนเล่นโทรศัพท์อยู่ในเปลนอน และจะยืนยันอีกว่าสถานที่บ้านร้าง ไม่น่าจะเป็นสถานที่สำหรับการประชุมร่วมกับระดับอำเภอ ซึ่งมันขัดแย้งกับ คำพูดตามที่นางนิตไปให้สัมภาษณ์และไปร้องกับมูลนิธิฯ
เมื่อวานนี้ตัวเองยอมรับว่าหลังจากที่ตามหาตัวนางนิตภรรยาไม่เจอที่บ้าน จึงได้เดินตามจนกระทั่งมาเจอว่านางนิต นั่งอยู่กับสารวัตรกำนัน อยู่ที่บ้านร้างไม่ไกลจากบ้านตนเอง หลังจากที่ตนเองมาเจอ จึงเกิดความโมโห ตัดสินใจที่จะเตะสารวัตรกำนันที่นั่งอยู่บนพื้น และเป็นช่วงจังหวะที่สารวัตรกำนันคว้าเอาท่อนไม้จะตีตนเอง ตนเองจึงเอามีดที่พกมาเพื่อป้องกันตัว แต่ยังไม่ทันได้แทง แม่ของนางนิต เดินขึ้นมาห้าม ตนเองจึงใช้มือผลัก แต่ถูกเข้าใจผิดว่าจะมีการล็อคคอแทง ทั้งที่ตนเองไม่ได้มีการล็อคคอ
สท.เกียรติ เปิดใจว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้ตนเองยอมรับว่ากระทำไปด้วยความโมโห เพราะเนื่องจากตามหาภรรยาไม่เจอ แต่พบเจออยู่ที่บ้านร้าง จึงทำให้เห็นภาพที่นั่งอยู่กับชายคนสนิทซึ่งเป็นสารวัตรกำนัน จึงได้โมโหและเตะ แต่สารวัตรกำนันก็เอาไม้มาสู้ ตนเองจึงได้ใช้มีดที่พกมาเพื่อที่จะป้องกันตัวแต่ยังไม่ทันได้แทงใคร
และเหตุผลที่ตนเองโมโหเป็นเพราะว่าในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา จับได้ว่าผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นภรรยาของตนเอง มีการแอบพูดคุยและมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสารวัตรกำนัน ซึ่งตนเองมีข้อมูล และเห็นกับตามาแล้วหลายครั้ง จนกระทั่ง เมื่อวานนี้ มาเห็นคาตา จึงทำให้เกิดความโมโหแล้วมีการขึ้น , และก่อนหน้านี้ ก็มีเหตุการณ์ช่วงกลางดึก 3-4ทุ่ม ตนเองเผลอตื่นนอนกลางดึก และเปิดประตูห้องไปดูพบว่าภรรยาไม่ได้นอนอยู่ในห้อง แต่เห็นแสงไฟเหมือนคนเล่นมือถือยืนอยู่หน้าบ้านเหมือนรอใครบางคน ตนเองจึงยืนแอบมองอยู่ จนกระทั่งเห็นรถมอเตอร์ไซต์ของสารวัตรกำนัน ขับมาจอดรับที่หน้าบ้าน จึงเป็นภาพที่ตนเองเห็นคาตามาแล้ว แต่เพียงแค่ไม่ได้ตามต่อว่าไปไหน และภรรยาชอบหายออกไปช่วงกลางวัน กลับมาช่วงกลางดึก เป็นแบบนี้เป็นประจำ จึงทำให้ตนเองเริ่มที่จะหาข้อมูลและรู้ว่าภรรยากับสารวัตรกำนันมีอะไรที่มากไปกว่านั้น
กรณีที่ภรรยากับสารวัตรกำนันมานั่งเล่นอยู่ที่บ้านร้างแล้วอ้างว่ากำลังมีการประชุมระดับอำเภอหรือระดับจังหวัดส่วนตัวอยากจะให้เห็นสภาพจริงว่าบ้านร้างไม่น่าจะเป็นสถานที่สำหรับการประชุมอย่างแน่นอนเพราะตอนที่ตนเองมาถึงภรรยานอนอยู่บนเปลนอนเล่นโทรศัพท์ ส่วนสารวัตรกำนันนั่งอยู่ที่พื้นเหมือนทำอะไรบางอย่าง ไม่ได้มีการตั้งกล้องหรือมีการเปิดโทรศัพท์เข้าประชุมแต่อย่างใด และเข้าใจว่าช่วงเวลาที่ตนเองมาเจอนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. แต่การประชุมเริ่มไปตั้งแต่ช่วงเวลา 10.00 น. แล้ว จึงบอกว่าการที่เอาเรื่องการประชุมมาอ้างแล้วพากันมาที่บ้านร้างจึงไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นการหลบหลีกไม่ให้ตัวเองเจอมากกว่า