ขณะเดียวกันลุงพลป้าแต๋นพร้อมทีมทนายความ หลังจากรับฟังศาลเลื่อนการอ่านคำพิพากษาแล้วได้เดินทางกลับมาที่โรงแรม พร้อมตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงความคืบหน้าคดี โดยทีมทนาย บอกว่า คดีลุงพล มีข้อหาฆ่าคนตาย ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยตามระเบียบตุลาการศาลยุติธรรม ต้องส่งสำนวนร่างคำพิพากษาไปยังสำนักงาน อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 เพื่อตรวจสำนวนและร่างคำพิพากษาซึ่งยังไม่เสร็จ
การเลื่อนในครั้งนี้ไม่ได้กระทบการต่อสู้คดีของจำเลย และยังเชื่อว่า ลุงพลเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำผิด ทั้งเรื่องข้อกฎหมายการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในสำนวน
ส่วนการตรวจค้นวัตถุพยานไม่ได้ทำอย่างตรงไปตรงมา มีข้อพิรุธกังขา ไม่สุจริตพอจะรับฟังเป็นพยานหลักฐาน เช่น การพบเส้นขนบนรถยนต์ที่ลุงพลใช้ประจำ เปรียบเทียบกับที่เกิดเหตุ จุดพบร่างและพบกางเกง
เห็นว่าการตรวจค้นไม่มีหมายค้นจากศาล และการตรวจพบวัตถุพยาน ไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่บ้าน จำเลย และสื่อว่า พบอะไร ซึ่งพบเส้นผม เส้นขน และมีด ซึ่งตนเองมองว่า เรื่องนี้ลุงพลไม่ได้รับความยุติธรรม
ยืนยันที่ผ่านมาพยายามค้นความจริงว่าลุงพล-ป้าแต๋น หลอกทนาย หรือปกปิดข้อเท็จจริงบางส่วนหรือไม่ ซึ่งก็ขอให้ลุงพลไปพบนักจิตวิทยาคลินิก และเครื่องจับเท็จ ซึ่งลุงพลสมัครใจเข้าเครื่องจับเท็จ ผลพบ ปกติ ไม่มีจิตฟั่นเฟือน ไม่วิกลจริต
ส่วนแรงจูงใจ ไม่พบว่าลุงพล ป้าแต๋น ได้ประโยชน์โดยตรงใดๆ จากการตายของน้อง ทั้งกรมธรรม์ประกันภัย ประกันชีวิต รวมถึงไม่พบว่า มีความอาฆาตแค้นกัน โดยเฉพาะ ป้าแต๋นก็เป็นพี่สาวตามสายเลือดของแม่ชมพู่ และวันเกิดเหตุยังไปวัด GPS ที่สวนที่มีที่ดินติดกันอยู่เลย และทางกามอารมณ์ ลุงพลก็ไม่มีเรื่องแบบนั้น ก็เลยเอาทั้งหมดมาต่อสู้ข้อกล่าวหา
ซึ่งจากการต่อสู้ ทีมทนายความได้นำผลตรวจชันสูตร ของ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ และ รพ.ตำรวจ ไม่พบการต่อสู้ทำร้าย ไม่พบสิ่งใดที่เป็นพิษในกระเพาะอาหาร อวัยวะเพศไม่ฉีกขาด ไม่พบดีเอ็นเอลุงพลในร่างและในเสื้อผ้าที่น้องใส่
ทนายเบิ้ม ยังบอกอีกว่า คณะทนายความเข้าใจการสูญเสียเด็กอายุเพียง 3 ขวบเศษ แต่การสูญเสียครั้งนี้ ลุงพล ป้าแต๋น ไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็น อย่างไรก็ตาม แม้คำพิพากษาจะออกเป็นอย่างไร ฝ่ายจำเลยยินดีน้อมรับ พร้อมบอกสื่อ เจอกันอีกที 20 ธันวาคมนี้
ต่อมาทีมทนายจึงย้ำข้อแก้ต่างว่า ชมพู่เดินตามสุนัข ได้เชิญครูฝึกสุนัขมา ว่า ชมพู่เป็นคนให้อาหาร สุนัขไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของ แต่ใครให้อาหารก็ผูกพันกับคนนั้น
ส่วนที่น้องเดินขึ้นภูเหล็กไฟไปได้ เพราะอาจจะเอาพลังจาก ไขมัน จากตับ ในภาวะที่ต้องเอาชีวิตรอด ซึ่งหลักวิชาการเกิดขึ้นได้ และร่างกายเด็ก 3 ขวบมีความยืดหยุ่น จึงเชื่อว่าไปได้ ส่วนน้องถอดกางเกงได้ไหม ตนเองได้สอบถามกับนักพฤติกรรมศาสตร์ แม้ไม่เคยเห็นน้องถอดเสื้อผ้า แต่ลับหลังอาจจะทำได้ โดยเฉพาะกางเกงขาสั้นยิ่งถอดง่าย
นอกจากนี้ศพมีรอยขีดข่วน ลักษณะเป็นบาดแผลกระทบกับของมีคม แต่ไม่ได้ถูกกระทำ ซึ่งในป่าภูเหล็กไฟช่วงเดือนพฤษภาคม มีต้นพริกที่มีความแหลมคม ระหว่างน้องผจญเอาชีวิตรอด อาจไปกระทบจนเกิดแผลตามร่างกาย หากลุงพลอุ้มน้องขึ้นไประยะหนึ่ง โดยวิสัยน้องต้องร้องไห้หรือไม่ไปต่อ ถ้าเป็นแบบนั้น ลุงพลต้องทำร้ายร่างกายให้ขัดขืน และไม่พบหนามต้นพริกที่ขีดข่วนร่างกายลุงพลเลยด้วยซ้ำ
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ยกมือถามข้อสงสัยเพิ่มเติมกับทีมทนายความ หลังสงสัยข้อต่อสู้ของทีมทนายความ ที่บอกว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่น้องชมพู่จะเดินตามสุนัขขึ้นไปเสียชีวิตบนเขาเอง แต่สมมุติฐานที่ทีมทนายตั้งขึ้น ขัดแย้งกับพยานหลักฐาน สำคัญอย่าง กระจุกเส้นผมที่ตำรวจพบว่า ผมของน้องชมพู่ถูกของมีคมตัด สับ ตกอยู่ข้างศพของน้องชมพู่ ซึ่งทีมทนายลุงพล คิดว่า เกิดจากสาเหตุใด น้องชมพู่ตัดผมตัวเองได้หรือ และตัดทำไม หากน้องเดินขึ้นเสียชีวิตเอง
ด้านทนายสงกา ได้ตอบกลับทีมข่าวช่อง 8 ว่า กระจุกเส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่มีคนเห็นว่าใครทำ
ถามว่า จะลบล้างข้อที่ว่าน้องขึ้นเขาไปเองได้หรือไม่ ทนาย มองว่า “กระจุกเส้นผมอาจขาดเพราะถูกสัตว์ป่ากัดแทะ เช่น หนู แมลงสาบ ก็เป็นไปได้” ซึ่งฝ่ายกล่าวหายืนยันว่า กระจุกผมของน้องขาด เพราะมีของมีคมด้านเดียวฟันสับไป ฟันธงขนาดนั้น ตนเองก็พยายามชี้ให้เห็นว่า การตัดด้วยของคมด้านเดียว แตกต่างจากการใช้กรรไกรตัดหรือไม่ ก็มีการใช้แสงซิงโครตรอน ดูเส้นพบที่พบในรถลุงพลและที่พบข้างศพว่า เป็นชุดเดียวกัน และคนๆ เดียวตัด
ซึ่งเราหักล้างว่า เส้นผมเป็นชีววิทยา ต่างจากโลหะทั่วไป ไม่รู้ว่า เก็บไว้นานแค่ไหนก่อนเอาไปให้แสงซิงโครตรอนส่อง ผลจะเสถียรแค่ไหน และมีดพกสั้นที่เอาไปตรวจว่าเป็น “อาวุธในการตัด ก็ไม่พบดีเอ็นเอลุงพล”
และยิ่งการที่ตำรวจก่อนหน้านี้บอกว่า ผมของน้องที่ถูกตัด มีคนร้ายได้พิธีสะกดวิญญาณ ยิ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และหลังเกิดเหตุลุงพลก็ไม่เคยเห็นทำพิธีสะกดวิญญาณใครเลยด้วยซ้ำ
ส่วนเสื้อของน้องชมพู่ที่หายไป สันนิษฐานว่าอาจถูกวัวเลี้ยง ที่เคยกินพวกเสื้อผ้านายพราน และเส้นผมที่พบในรถ ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นผมของน้องชมพู่ เพราะไม่มีรากผม ตรวจดีเอ็นเอไม่ได้ ตรวจได้แค่ ไมโตรคอนเดรียว่ามาจากสายเลือดฝั่งแม่เดียวกัน
และเส้นผมพบในรถเดือนมิถุนายน 63 ซึ่งรถที่ลุงพลใช้ประจำไม่เคยล้าง เป็นไปได้ว่าน้องชมพู่ขึ้นรถคันนี้หลายครั้ง ลุงพลป้าแต๋นพาไปเที่ยว ก็อาจจะมีอยู่บนรถซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
นักข่าวถามต่อ ส่วนที่ฝ่าเท้าน้องไม่บวมไม่พอง ถ้าเดินขึ้นเขา ทนายสงกา บอก ชมพู่สวมรองเท้าสีฟ้าขาว ปลายเท้าด้านหน้ายื่นเลยรองเท้า พบรองเท้าน้องบนภู จึงเชื่อว่า น้องสวมรองเท้าขึ้นไปเอง เพราะปลายเท้ามีรอยช้ำมากกว่าส่วนอื่นๆ ของเท้า
ส่วนการตกของเลือด ก็พบว่า ศพของน้องมีลักษณะการตกเลือดจากที่สูงลงที่ต่ำ ก็เชื่อได้ว่าน้องเสียชีวิตในท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้เสียชีวิตมาจากที่อื่น และมีคนร้ายนำศพมาวางไว้
ส่วนลุงพล ในการแถลงข่าว ได้บอกว่า การเลื่อนฟังคำพิพากษา ไม่มีผลกระทบอะไร ส่วนความรู้สึกได้เจอแม่ชมพู่ ลุงกับป้าก็อยากจะทักทาย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นยังต้องห่างกันสักพัก ต้องรอบทพิสูจน์ในตัวลุงกับป้าก่อน
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางขึ้นภูเหล็กไฟอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา เพื่อเดินทางไปจุดที่พบศพของน้องชมพู่ ซึ่งจุดที่พบศพน้องอยู่ห่างจากบ้านน้องชมพู่ประมาณ 2 กิโลเมตร เพื่อจะพิสูจน์ว่าระหว่างทางขึ้นไปบนเขาและใกล้จุดที่พบศพน้องชมพู่ มีหญ้าเพ็ก จำนวนมาก ตามคำต่อสู้ของทีมทนายลุงพลจริงหรือไม่
ซึ่งทีมทนายลุงพลใช้เรื่องนี้ต่อสู้ในชั้นศาล ว่าน้องชมพู่อาจจะเดินตามสุนัขขึ้นไปเสียชีวิตเอง โดยระหว่างทางตัวของน้องชมพู่ ได้ไปถูกกับหญ้าเพ็ก ทำให้สภาพศพพบรอยชีดข่วนจำนวนมากตามร่างกาย ซึ่งเหตุผลดังกล่าวทำให้น้องอาจจะเดินขึ้นไปเสียชีวิตเอง
ซึ่งจากการเดินสำรวจของทีมข่าวพบว่า ระหว่างทางมีหญ้าเพ็กขึ้นอยู่มาก แต่หญ้าเพ็กเป็นหญ้าอ่อน ทีมข่าวลองใช้แขนกวาดตามหญ้าให้เกิดบาดแผล แต่ก็ยังไม่มีร่องรอยขีดข่วน มีแต่อาการคันเท่านั้น เพราะหญ้ายังอ่อน
ต่อมาทีมข่าวได้สอบถามหนึ่งในชาวบ้านที่ช่วยค้นหาน้องชมพู่ กับทิพย์ข่าวว่า ตนเองก็เคยเดินทางมาช่วยหาน้องในวันที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งช่วงนั้นหญ้าเพ็กค่อนข้างมีน้อย เพราะเพิ่งการถูกไฟไหม้ป่ามา ซึ่งตนเองมองว่า การที่น้องชมพู่จะเดินชึ้นเขาและถูกหญ้าเพ็กบาดจนเป็นแผลคงยาก เว้นเสียจาก ย่าเพชรที่น้องชมพู่เดินผ่าน ถูกไฟไหม้จนแห้งและแข็งแล้ว ก็อาจเกิดรอย-ข่วนตามร่างกายได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ค่อนข้างยากเช่นกัน