นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อน้องชมพู่ ที่บอกว่า ตนเองรักและคิดถึงลูกสาวอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่ลุงพลบอกว่า เจ้าตัวบริสุทธิ์ คนที่รู้ดีที่สุด คือ น้องสะดิ้ง ลูกสาวคนโต ตนเองมองว่า ลูกสาวก็รู้เรื่องเท่านั้น ตามที่เป็นข่าว ซึ่งตนเองไม่อยากพูดถึง แต่เชื่อว่า คดีนี้ต้องมีคนร้ายที่ทำร้ายลูกสาว
ด้านนายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล หรือ “ทนายแซม” ทนายฝั่งแม่น้องชมพู่ พูดเสริมว่า ข้อหักล้างของฝั่งทนายลุงพลเรื่องการไม่พบดีเอ็นเอ ตนเองมองว่า ถึงไม่พบก็ไม่ใช่ว่าจะเอาผิดไม่ได้ เพราะมีพยานหลักฐานอื่นๆ ประกอบกัน ทั้งพยานแวดล้อมและพยานบุคคล โดยส่วนตัวไม่สามารถตอบได้ว่า พยานหลักฐานทั้งหมดจะเพียงพอในการที่ศาลตัดสินลงโทษลุงพลหรือไม่ เนื่องจากจะเป็นการก้าวล่วง แต่บอกได้เพียงว่า พยานที่สืบมาทั้งหมด ทั้งพยานหลักฐาน พยานวัตถุ ตนเองเชื่อมั่น
พร้อมยืนยันว่าในการสืบพยาน มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองฝั่งวิเคราะห์ว่า น้องชมพู่สามารถเดินขึ้นภูเหล็กไฟไปเองได้หรือไม่ และมีการเชิญนักโภชนาการมาดูว่า เด็กกินข้าวแค่นี้ มีพลังงานเพียงพอจะสามารถเดินขึ้นไปยังจุดพบศพเองได้หรือไม่
โดยมองว่าการเลื่อนอ่านคำพิพากษาไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับคดี เป็นเพียงกระบวนการตามปกติซึ่งตนเองก็ตอบไม่ได้ว่าจะมีการเลื่อนอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล แต่เชื่อว่าครั้งหน้าน่าจะเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งตนเองมั่นใจในพยานหลักฐาน และเชื่อมั่นว่า น้องชมพู่จะได้รับความยุติธรรมให้ที่สุด