จากกรณีเพื่อนของหญิงสาววัย 20 ปี แจ้งมายังทางเพจเป็นหนึ่ง ให้เข้าช่วยเหลือเพื่อนของเธอ ระบุว่าเพื่อนหนูถูกกักขังโดยคนในครอบครัว โดนยึดโทรศัพท์ด้วย แต่ตอนที่โทร. ไปเบอร์เพื่อนมันยังติดอยู่ เพื่อนหนูอยู่ที่ จ.สารคาม แต่โดนพ่อกับแม่จับขังอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ในป่า เป็นบ้านของป้าที่แม่ไปรู้จักมาไม่ใช่ญาติกัน เพราะโดนป้าคนนี้เป่าหูว่าเพื่อนหนูโดนของเลยถูกจับขังอยู่ มีรถจะไปรับเพื่อนหนู ตอนเพื่อนหนูวิ่งจะออกจากบ้าน พ่อกับแม่วิ่งมาจับตัวไว้ทัน แล้วบอกไปยังผู้ใหญ่บ้านว่าให้ประกาศว่าไม่ให้มีรถมารับเพื่อนหนูอีก แล้วหนูติดต่อเพื่อนไปตอน 5 โมงเย็นของวันพุธที่ตอนนั้นยังติดต่อเพื่อนได้อยู่ แต่เพื่อนไม่ได้ทำการติดต่อกลับมาแล้วจนถึงวันนี้
ต่อมาเราได้เดินทางมาที่บ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งพบว่า เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ลักษณะคล้ายกับกระท่อม 2 หลัง อยู่กลางทุ่งนา โดยหลังแรกเป็นฟาร์มเลี้ยงหมู ส่วนหลังที่ น.ส.ทราย (นามสมมุติ) ผู้เสียหายอ้างว่าถูกกักขังอยู่ด้านซ้ายมือ ทำเป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ มุงด้วยสังกะสี ส่วนบริเวณด้านในพบเตียงนอน 1 หลังตั้งอยู่มุมบ้านพร้อมกับมุง 1 หลัง ซึ่งเป็นที่นอนของนางสาวทรายขณะถูกขังอยู่ที่บ้านหลังนี้ จากการตรวจสอบภายในบ้านไม่พบว่ามีแท่นพิธีหรืออุปกรณ์ที่บ่งบอกว่ามีการทำพิธี พบเพียงข้าวของเครื่องใช้ที่วางกระจัดกระจายทั่วบ้าน
ด้านนางคำกอง อายุ 55 ปี เจ้าของบ้าน เผยว่า ตนเองรู้จักกับพ่อและแม่หลานสาวมา 20 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ทำงานอยู่ด้วยกันที่จังหวัดปทุมธานี หลังจากนั้นก็นับถือกันเป็นญาติพี่น้องกัน
วันเกิดเหตุพ่อและแม่ของหลานสาวได้มาปรึกษาตนเอง เพราะสงสัยว่าลูกสาวจะติดเหล้าและยาเสพติด ตนเองจึงได้แนะนำให้มากินยาสมุนไพรของพระที่วัดที่อยู่ระแวงบ้าน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้พาหลานสาวมาอยู่ที่บ้านของตนเองและก็ให้กินยาสมุนไพร ซึ่งกินได้ประมาณ 2 วัน โดยระหว่างที่มาอยู่ที่บ้านไม่ได้มีการกักขังแต่อย่างใด เพราะสภาพบ้านของตนเองก็ไม่ได้เหมาะที่จะกักขังใครได้
แต่ยอมรับว่าในระหว่างที่หลานสาวอยู่ที่บ้านของตนเองจะมีพ่อแม่ของหลานสาวที่คอยนอนเฝ้าประตูเข้าออกเพื่อป้องกันไม่ให้หลานสาวหลบหนี ส่วนประตูด้านหลังตนเองก็แค่ใช้เชือกมัดไว้จากด้านนอกเท่านั้น เพราะประตูไม่มีที่ล็อก และในระหว่างที่หลานสาวอยู่ที่บ้านตอนกลางคืนก็จะเล่นโทรศัพท์ตลอดซึ่งตนเองก็ไม่รู้เลยว่าหลานสาวได้ไประบายกับเพื่อนว่าถูกจับขัง
จนกระทั่งเช้าวันถัดมาก็เห็นมีเพื่อนของหลานสาวขับรถยนต์มารับที่บ้านก็เกิดเหตุการณ์ที่หลานสาววิ่งหนีจะไปขึ้นรถกับเพื่อนแต่ถูกพ่อและแม่ของหลานสาวจับเอาไว้ได้ทัน เพราะต้องการอยากให้ลูกกินยาสมุนไพรและเลิกเหล้าเลิกยาเสพติด จากนั้นพ่อแม่ของหลานสาวได้พาหลานสาวไปโรงพยาบาล ซึ่งหมอไม่ได้อนุญาตให้หลานสาวเล่นโทรศัพท์ จึงอาจจะทำให้เพื่อนเป็นห่วง จึงได้ไปร้องเรียนกับเพจเป็นหนึ่งก็เป็นได้
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางมาที่บ้านของน้องทราย อยู่ในพื้นที่ตำบลเขวาใหญ่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม และได้พูดคุยกับนางสรัสวดี อายุ 46 ปี แม่ของน้องทราย เล่าว่า ลูกสาวได้มาขอไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเหล้าในเมืองมหาสารคาม เพราะอยากหารายได้พิเศษ แต่ตนเองคัดค้าน เพราะไม่อยากให้ลูกสาวไปทำงานที่ร้านเหล้า เนื่องจากกลัวว่าลูกจะเสียคนและไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ลูกก็มาอ้อนวอนขอ จนตนเองยอมให้ลูกไปทำงานได้ แต่ต้องไปกลับบ้าน
ในช่วงแรกลูกสาวก็เที่ยวไปกลับ แต่ในระยะหลังพฤติกรรมลูกเริ่มเปลี่ยนไปเริ่มไม่กลับบ้านไปพักอยู่หอกับเพื่อน ไม่เรียน จนเกรดตก และเริ่มมีอาการหงุดหงิด และชอบบ่นว่าปวดท้องในช่วงเวลา 4-5 โมงเย็นทุกวัน ตนเองจึงคิดว่าลูกน่าจะติดยาเสพติด และมีลักษณะคล้ายกับคนลงแดง พอตนเองถามลูกลูกก็จะบอกว่าจะรีบไปเอายาในเมือง พอตนเองถามว่ายาอะไรลูกก็ไม่ตอบ
ตนจึงได้ปรึกษากับนางคำกอง ก็ได้คำแนะนำมาว่าให้ลูกไปหาพระที่วัดเพื่อกินยาสมุนไพร เนื่องจากว่าเคยมีคนติดเหล้าติดยาแล้วไปกินยาสมุนไพรของพระก็หาย ซึ่งตนเองก็ยอมรับว่าไม่ได้บอกลูกตรง ๆ ว่าจะพาไปหาพระเพื่อไปเลิกเหล้าเลิกยา จึงได้กุเรื่องที่ลูกโดนของ จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกโกรธและก็ไประบายกับเพื่อน
ส่วนเรื่องกักขัง และมัดลูกสาวไว้ไม่ให้ลูกสาวไปไหน ตนเองขอปฏิเสธว่าไม่ได้กักขัง แต่ยอมรับว่าเฝ้าลูกตลอดเพราะกลัวว่าลูกจะหนีออกจากบ้านนางคำกอง หลังจากที่เกิดเรื่องตนเองก็ได้พูดคุยเปิดใจกับลูกบ้างแล้ว แต่ลูกก็ยืนยันว่าไม่ได้ติดยาเสพติด ซึ่งตนเองยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะคิดว่าลูกยังพูดความจริงกับตนเองไม่หมด
คดีพลิกลูกสาวโวยพ่อแม่จับขังสงสัยติดยา
ด้าน น.ส.ทราย เปิดใจกับผู้สื่อข่าวช่อง 8 ว่า ยอมรับว่าตนเองอยากจะไปทำงานที่ร้านเหล้า เพื่อหารายได้เสริมโดยตนเองเป็นแค่เด็กเสิร์ฟเท่านั้น ส่วนเรื่องของการไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดตนเองขอปฏิเสธว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่แม่ของตนเองคิดไปเองว่าตนเองยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่การเด็กเสิร์ฟก็ยอมรับว่ามีบ้างที่จะต้องดื่มเหล้าดื่มเบียร์เป็นปกติ
เรื่องที่แม่เข้าใจผิดตนเองที่บอกว่าจะไปเอายา คือ ยารักษาโรคกระเพราะ เนื่องจากว่าตนเองเป็นโรคกระเพาะจากการกินข้าวไม่ตรงเวลา และเรื่องที่ตนเองหงุดหงิดปฏิเสธว่าไม่ได้ลงแดง แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาตนเองทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการหงุดหงิด
น.ส.ทราย ยังบอกอีกว่า วันแรกที่แม่ของตนเองพาไปหาพระในจังหวัดร้อยเอ็ด พระให้ตนเองกินยาสมุนไพรผสมน้ำและยาลูกกลอน จากนั้นก็เอาไม้ยาวมาจิ้มตามร่างกาย พร้อมกับถ่องคาถาไปด้วย ซึ่งตนเองก็พอทราบว่าพิธีกรรมดังกล่าวคือการถอนของของคนที่โดนของมา แต่ตนเองก็ได้ยืนยันกับแม่แล้วว่าตนเองไม่ได้โดนของ แต่แม่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อและจะให้ตนเองอยู่รักษาที่จังหวัดร้อยเอ็ดอีกหลายวัน ซึ่งตนเองไม่อยากอยู่เพราะเนื่องจากว่าช่วงที่เดินทางมาที่จังหวัดร้อยเอ็ด ตนเองไม่ได้เอายารักษาโรคกระเพาะติดมือมาด้วย จึงทำให้เกิดอาการปวดท้องและอยากจะกลับไปรักษา แต่แม่ก็คิดว่าตนเองโดนของและลงแดงเพราะไม่ได้เสพยาเสพติด
หลังจากนี้ตนเองจะปรับความเข้าใจกับแม่และจะพยายามอธิบายให้แม่เข้าใจว่าตนเองไม่ได้ติดยาเสพติดหรือโดนของแต่อย่างใด แต่ช่วงนี้ก็ลาออกจากงานและมาอยู่ที่บ้านเพื่อความสบายใจของแม่แล้ว