วันนี้ (3 พ.ย. 66) เวลา 13.30 น. ตำรวจสภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้คุมตัวนายสุทิวัส ขุนณรงค์ อายุ 28 ปี หรือ หนอน ทุ่งลาน เพื่อนำไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยก่อนที่ตำรวจจะคุมตัวออกมาขึ้นรถ ก็มีทางด้านของแม่ และภรรยา พร้อมญาติๆอีกหลายคนที่มาคอยให้กำลังใจ ซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้
ก่อนที่จะคุมตัวนายหนอนออกมาขึ้นรถ ทางเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้แม่และภรรยาเข้าไปพูดคุยกับนายหนอนได้ โดยแม่ได้มีกอดสวมกอดนายหนอน ก่อนที่จะตามด้วยภรรยากอดอีกครั้ง และนายหนอนได้กอมแก้มลูกสาวอายุ 3 ขวบ ก่อนที่ตำรวจจะพาตัวออกตากห้องขังไปขึ้นรถ
โดยระหว่างที่คุมตัวออกมา นายหนอนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทางผู้สื่อข่าวได้มีการถามถึงความกังวลใจในเรื่องของความปลอดภัยหากเข้าไปอยู่ในเรือนจำหรือไม่ นายหนอน เผยว่า ตนเองไม่กังวลใจ ไม่มีความกลัว ตนแจ้งทนายไว้แล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตน ตนแจ้งความดำเนินคดีทันที
ยืนยันว่าตนไม่ใช่ลูกน้องของเสี่ยแป้ง แต่ถามว่าตนรู้เรื่องหนีหรือไม่ ตนยอมรับว่ารู้ ตนเพียงขับรถนำทางให้เขา และภรรยาตนก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วย ตอนตนคุยกับเสี่ยแป้งแฟนตนก็ไม่รู้
ทีมข่าวได้ถามว่าอยากจะฝากอะไรถึงลูกเมียหรือไม่ นายหนอนตอบเพียงว่า ไม่เป็นไร ส่วนเสี่ยแป้งตนขอไม่พูดถึง เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่เขา
แม่ของ “นายหนอน” ให้สัมภาษณ์ด้วยอาการสะอื้น บอกว่าตอนนี้อยู่ระหว่างปรึกษาทนายความเพื่อขอยื่นประกันตัวลูกชาย ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถดำเนินการได้ในวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 เนื่องจากตนเองรู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูก หากถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แล้วอาจจะถูกลูกน้องของ “เสี่ยแป้ง” ที่อยู่ด้านในเขม่นหรือรุนแรงถึงขั้นทำร้าย ก็เลยอยากให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐดูแลเรื่องความปลอดภัยของลูกระหว่างถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำด้วย เพราะลูกเคยบอกกับตนว่าหากถูกฝากขังในเรือนจำอาจจะถูกซ้อมแน่ๆ
อีกเรื่องที่ตนกังวลคือความปลอดภัยของลูกสะใภ้และหลาน เนื่องจากมีกระแสข่าวออกไปว่าลูกสะใภ้อาจจะรู้เห็น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดลูกชายกับลูกสะใภ้เหมือนตกกระไดพลอยโจร
ท้ายที่สุดแม่ยอมรับว่าจริงๆแล้วภายในใจมีคำถามมากมายเกี่ยวกับคดีครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการติดตามจับกุมตัว “เสี่ยแป้ง” ณ ตอนนี้ผ่านไป 10 กว่าวันแล้ว แต่ยังไม่สามารถจับกุมได้ จึงอยากถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำไมถึงให้ความสำคัญกับลูกชายตน มากกว่าการตามล่า “เสี่ยแป้ง”
เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2566 ที่ผ่านมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ได้อนุมัติออกหมายจับ 2 ผู้คุมเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ตามที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช แจ้งความร้องทุกข์ ประกอบด้วยนายวรินทร อายุ 41 ปี และนายเอกลักษณ์ อายุ 35 ปี ซึ่ง 2 ผู้คุมเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชดังกล่าว มีหน้าที่ควบคุมนายเชาวลิต หรือเสี่ยแป้ง ทองด้วง อายุ 37 ปี ผู้ต้องขังตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดพัทลุงหมายเลข อ.1861/2565 ลงวันที่ 30 พ.ย.2565 พิพากษาจำคุก 20 ปี 6 เดือน ซึ่งป่วยทางเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ได้ส่งตัวนายเชาวลิต มารักษาตัวและแพทย์ให้รักษาตัวที่ตึกอายุรกรรมชาย 6 รพ.มหาราชนครศรีธรรมราชและได้หลบหนีไประหว่างควบคุม เมื่อ 22 ต.ค.2566 เวลา 00.06 น.
โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมอบชอบภาค 8 ได้อนุมัติออกหมายจับนายวรินทร และนายเอกลักษณ์ ข้อกล่าวหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขังตามอำนาจศาลซึ่งเป็นบุคคลต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นปีร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ที่อยู่ระหว่างคุมขังนั้นหลุดพ้นจากการคุมขังไป
วันนี้ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านพักของนายเอกลักษณ์ ไชยกาญจน์ หรือ เอก อายุ 36 ปี ผู้คุมเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ซึ่งมีหน้าที่ควบคุม นายเชาวลิต หรือ แป้ง ทองด้วง ผู้ต้องขัง อยู่ที่ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยเป็นบ้านปูนชั้นเดียว บ้านปิดเงียบไม่มีใครอยู่ในบ้านพัก ทราบต่อมาว่าบ้านหลังนี้นายเอกลักษณ์อยู่กับแม่เพียงสองคนเท่านั้น
เราได้พูดคุยกับนางเมย์ (นามสมมติ) เป็นเพื่อนบ้าน บอกว่าช่วงเช้าแม่ของนายเอกลักษณ์ยังอยู่ในบ้านพักแต่ต่อมามีญาติขับรถเก๋งมารับแม่นายเอกลักษณ์ไปทำธุระข้างนอกโดยยังไม่ทราบว่าจะกลับมาตอนไหน ซึ่งนายเอกลักษณ์เป็นคนในพื้นที่นี้แต่มีช่วงหนึ่งไปเรียนปวส. สาขาเทคนิคไฟฟ้าที่กรุงเทพ เรียนเสร็จก็ตั้งใจสอบบรรจุข้าราชการจนกระทั่งสอบได้เป็นผู้คุมเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชซึ่งทำงานที่นี่ได้ประมาณ 8-10 ปีแล้ว ยืนยันที่ผ่านมาไม่เคยมีประวัติการทำงานด่างพร้อย
หลังเกิดเหตุเสี่ยแป้งหลบหนีออกจากโรงพยาบาล ตนได้พูดคุยกับแม่ของนายเอกลักษณ์ซึ่งเล่าให้ฟังว่า นายเอกลักษณ์ไม่ได้เข้าเวรเฝ้านักโทษนานแล้ว จู่ๆได้รับคำสั่งให้เฝ้าเสี่ยแป้งที่โรงพยาบาล ก่อนหน้านี้มีผู้คุมอีกคนที่อยู่เวรกลางวันจะต้องออกเวรช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งนายเอกลักษณ์จะต้องไปเปลี่ยนเวรผู้คุมพี่ออกเวรทำให้ต้องเข้าเวรตั้งแต่ช่วงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 22 ตุลาคม ระหว่างเข้าเวรจะต้องอยู่ในห้องพักชั่วคราวของผู้คุมนอกห้องคนป่วย และเมื่อถึงเวลาที่ตรวจตรา ก็ต้องเข้าไปเช็คที่เตียงว่านักโทษยังอยู่ในห้องคนไข้หรือไม่
ก่อนเสี่ยแป้งจะหลบหนี ตอนนั้นเห็นเสี่ยแป้งนอนอยู่ที่เตียงคนไข้ และมีนางสาววิลาวัลย์หรือไหมเป็นคนเฝ้าไข้อยู่ข้างเตียง ตอนนั้นก็เอะใจเพราะที่ขาของเสียแป้งมีผ้าคลุมอยู่หลายชั้น แต่คิดว่าไม่มีอะไรจึงไม่ได้เปิดดู และยังสังเกตุเห็นว่าโซ่ตรวนของเสี่ยแป้งถูกเปลี่ยนจากอันใหญ่เป็นอันเล็ก แต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรเพราะตนเพิ่งมาเวรกลางคืน ตนก็ถ่ายรูปว่านักโทษยังอยู่ที่เตียงตามปกติและออกมายังห้องพักชั่วคราวของผู้คุม แต่ต่อมาพยาบาลโทรแจ้งตนว่านักโทษหลบหนีก็รีบมาดูที่เตียงของเสี่ยแป้งทันที
เมื่อขึ้นมาก็พบเสี่ยแป้งไม่ได้อยู่ที่เตียง แต่เจอนางสาวไหมอยู่ที่เตียงและกำลังเก็บของอยู่ จึงเข้าไปคุมตัวนางสาวไหม พร้อมกับยื่นข้อเสนอว่า “ช่วยพี่นะ ให้การกับพี่ แล้วพี่จะไม่ให้ติดคุก” หลังควบคุมตัวนางสาวไหมได้แล้วจึงแจ้งตำรวจ ยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เพิ่งทราบว่านักโทษหนี ซึ่งตอนนั้นต้องควบคุมนางสาวไหมให้เป็นพยานคดีก่อนจึงทำให้มีการแจ้งตำรวจล่าช้า
หลังเกิดเหตุนายเอกลักษณ์ก็ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนเสี่ยแป้งหลบหนี ยังเจอเรื่องผิดปกติมีชายจำนวน 4-5 คน ยืนสูบบุหรี่ใกล้ๆลิฟต์ ซึ่งปกติแล้วตึกที่เสี่นแป้งอยู่หากเป็นช่วงกลางดึก คนจะไม่พลุกพล่าน แล้วก็ไม่มีคนแปลกหน้าเข้ามาในตึก
ตนเห็นใจนายเอกลักษณ์ที่เจอเหตุการณ์ดังกล่าวส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่ามีส่วนร่วมในการพาเสี่ยแป้งหลบหนี หลังคืนเกิดเหตุที่เสียแป้งหนีออกจากโรงพยาบาลนายเอกลักษณ์ได้กลับมาที่บ้านพักแล้วก็ร้องไห้กับแม่ พร้อมกับบอกว่า “ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ “ แต่ทางแม่ของนายเอกลักษณ์ก็ปลอบใจว่าโชคดีที่ลูกชายไม่ได้ไปขวางการหลบหนีของเสี่ยแป้ง หากนายเอกลักษณ์ไปเปิดผ้าคลุมขาของเสี่ยแป้งตอนนั้นก็อาจจะถูกเสี่ยแป้งยิงใส่ เพราะจากคำให้การของนางสาวไหมบอกว่าใต้ผ้าห่มนั้นมีปืนของเสี่ยแป้งซ่อนอยู่
ซึ่งแม่ของนายเอกลักษณ์ก็เครียดมากเหมือนกันในช่วงนี้ เพราะมีลูกชายเพียงคนเดียว แล้วยังเป็นเสาหลักของครอบครัวด้วย
ข้อสงสัยตัวการใหญ่ในราชทัณฑ์ไม่ถูกจับ ปมเสี่ยแป้งหลบหนี