จากกรณีกลางดึกของ 3 พฤศจิกายน พ.ต.ต.พีระพล ขวาของ สว.สส.สภ.ช้างเผือก พ.ต.ต.อมรเทพ สุขันธ์ สวป.สภ.ช้างเผือก พร้อมชุดสืบสวน และชุดป้องกันปราบปราม สภ.ช้างเผือก กว่า 30 นาย ออกตรวจสถานบันเทิงในพื้นที่พบร้านเหล้าแห่งหนึ่งยังเปิดไฟและเปิดเพลงเสียงดัง จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบภายในร้านยังเปิดให้บริการและจำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้กับผู้ใช้บริการ
จาการตรวจสอบ นายเรืองศักดิ์ รับเป็นผู้จัดการดูแลร้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ตรวจสอบพยานหลักฐาน พยานบุคคล ภาพถ่าย พบว่ามีลูกค้านั่งอยู่ภายในร้านกว่า 40-50 คน เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบบัตรประชาชนนักท่องเที่ยว ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองจากส่วนกลาง ที่เข้ามาตรวจจับสถานบันเทิงในเขตพื้นที่ สภ.ช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กระทั่งนำไปสู่การสั่งย้าย พ.ต.อ.กิตติพงษ์ เพ็ชรมุณี ผกก. สภ.ช้างเผือก ให้ไปช่วยราชการที่ ศปก.กองบังคับการตรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน ผกก. รอง ผกก.สืบสวน รอง ผกก.สอบสวน และสวป. สว.สส. ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังมีหญิงสาวที่เป็นเด็กเอนเตอร์เทน และเยาวชนอายุ 17 ปี นั่งดื่มอยู่ภายในร้านด้วย จากกาสอบถามผู้จัดการร้าน รับว่า ยังเปิดให้บริการในช่วงที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจริง จึงถูกแจ้งข้อหา "จำหน่ายสุราเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด " และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก ดำเนินคดีตามกฏหมาย
ตำรวจแจง ตรวจผับตามหน้าที่ ไม่รู้ใครอยู่ในผับ
ล่าสุดวันนี้ (03 พฤศจิกายน 2566) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยัง สถ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ซึ่งวันนี้ทาง พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กฤษดา พันธ์เกษม รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งรักษาการแทนผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก เป็นคนออกมาชี้แจงในเรื่องดังกล่าว
โดย พ.ต.อ.กฤษดา กล่าวว่า หลังจากตนเองได้รับคำสั่งมารักษาการแทน ผกก.สภ.ช้างเผือก จึงมีการสั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนและตำรวจสายตรวจ ออกปฏิบัติการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและนโยบายของทางรัฐบาล เรียกว่า Kick off ปฏิบัติการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ กระทั่งในเวลา 02.57 น. หลังจากตำรวจไปตรวจสถานบันเทิงรอบๆพื้นที่เสร็จแล้ว ทางฝ่ายสืบสวนไปพบว่าร้านดังกล่าว ซึ่งอยู่ในสถานที่ลับตา บนชั้น 9 ยังเปิดไฟให้บริการอยู่ จึงขึ้นไปตรวจสอบ ปรากฏว่าพบนักท่องเที่ยวทั้งหญิงและชายดื่มกินกันอยู่ในร้าน แต่ไม่ได้มีการแสดงดนตรีใด ๆ ทางตำรวจจึงขอตรวจสอบใบอนุญาตตามปกติ
แต่ปรากฏว่าเมื่อตำรวจเดินไปตรวจสอบที่โต๊ะชายและหญิงที่นั่งดื่มกันประมาณ 10 คน มีคนในโต๊ะเดินมาแจ้งว่า โต๊ะดังกล่าวเป็นโต๊ะของเจ้าหน้าที่ จากนั้นชายเสื้อเหลืองและชายเสื้อดำ ก็ขอให้ตำรวจออกไปคุยด้านนอกตามคลิป ซึ่งชายเสื้อเหลืองแสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน ส่วนชายเสื้อดำก็แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง แต่ตำรวจก็ตรวจตามปกติ ซึ่งการจับกุมดังกล่าว ขอยืนยันว่า ตำรวจไปทำหน้าที่ และไม่ได้เจาะจงไปตรวจร้านดังกล่าว ซึ่งหากทั้งสองคนไม่แสดงตัว ตำรวจก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ยืนยันการจับกุมและตรวจสอบสถานบันเทิงดังกล่าว ไม่ได้เป็นการเอาคืนหรือจงใจไปจับใคร และทางตำรวจก็ไม่ได้กังวลอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งการจับกุมที่ผ่านมา เมื่อมีหน่วยงานอื่นมาร่วม หรือเข้ามาจับกุม เป็นเรื่องที่ดีที่เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยกันทำงานให้สังคม
กรมการปกครอง ชี้แจง ไม่ได้ฉลองผลงานหลังบุกจับผับดัง
นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครองปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง แถลงข่าวกรณีสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกจับผับเปิดเกินเวลา แล้วพบเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองข้างในร้าน โดยมีพนักงานฝ่ายปกครองชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ร่วมในการแถลงข่าว
นายรณรงค์ กล่าวว่า จากกรณีชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองสนธิกำลังร่วมกับชุดปฏิบัติการจังหวัดเชียงใหม่ บุกจับ ผับย่านช้างเผือก กลางเมืองเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พร้อมแจ้งข้อหา 7 ฐานความผิด คือ 1. ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 3. จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 4. จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 5. ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 6. โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม 7. ดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุม จะได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ออกคำสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี และในส่วนของการดัดแปลงอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นนั้น ทางจังหวัดเชียงใหม่จะได้ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อออกคำสั่งระงับการใช้อาคารดังกล่าวต่อไป
นายรณรงค์ กล่าวว่า หลังจากการจับกุมผับดังกล่าว ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน ได้มีการกำหนดแผนการสืบสวนหลังการปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบตามคำร้องเรียนว่า ยังมีสถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนกฎหมายอยู่หรือไม่ ซึ่งในครั้งนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง จำนวน 2 นาย ดำเนินการสืบสวนตามคำร้องเรียนต่อ
โดยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน เวลา 00.15 น. ชุดสืบสวนได้ทราบข้อมูลว่ามีสถานประกอบการชื่อร้านอาหารใน จ.เชียงใหม่ ยังมีการเปิดให้บริการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม จึงได้เข้าทำการสืบสวนข้อเท็จจริงตามที่ได้รับข้อมูล โดยพบว่าสถานประกอบการมีลักษณะเป็นสถานประกอบการแบบร้านอาหาร ไม่ใช่สถานบริการในลักษณะผับบาร์ จึงไม่ต้องมีการขออนุญาตตั้งสถานบริการ และในเวลาดังกล่าว โซนภายนอกร้านปิดให้บริการแล้ว แต่ด้านในยังคงมีการเปิดให้บริการอยู่ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ช้างเผือก เข้าทำการตรวจสอบสถานประกอบการดังกล่าวพอดี เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองจึงได้แสดงตัว และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ และยุติการสืบสวน ในเวลา 03.00 น. และเดินทางกลับ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าในร้านดังกล่าวมีเยาวชนเข้าใช้บริการอายุต่ำกว่า 20 ปีนั้น ในข้อเท็จจริงพบว่าเป็นแฟนของบาร์เทนเดอร์ที่มารอรับกลับบ้านหลังเวลาเลิกงานทุกวัน และเจ้าของร้านได้ให้ข้อมูลกับตำรวจสถานีตำรวจภูธรช้างเผือก ขณะที่มีการเข้าตรวจสอบภายในร้านไปแล้ว จึงมีการกันตัวเยาวชนดังกล่าวออก เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และในส่วนเรื่องของการดำเนินคดีกับร้านแห่งนี้ ทราบว่า ตำรวจสถานีตำรวจภูธรช้างเผือกได้แจ้งข้อหากับผู้จัดการร้านในข้อหาจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ปรับ 3,000 บาท และปล่อยตัวผู้จัดการกลับ
นายรณรงค์ กล่าวถึง กรณีมีสื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอข่าวบิดเบือนว่า ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองเลี้ยงฉลองความสำเร็จหลังจับผับนั้น ขอชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่เดินทางกลับมากรุงเทพฯ ทีมแรก ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนแล้ว และอีกทีมในวันที่ 2 พฤศจิกายน แล้วก็ยังนั่งประชุมกันอยู่ที่กรมการปกครอง (วังไชยา) จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการฉลอง จึงขอฝากไปยังสื่อมวลชนบางสำนักที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ขอให้โอกาสท่านแก้ไขข่าว หากท่านไม่แก้ไขข่าวให้ถูกต้องจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
สำหรับหลักการทำงานของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง มี 3 ลักษณะ คือ
1) การรับเรื่องจากศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทยที่มีผู้ร้อง แล้วศูนย์ดำรงธรรมจะส่งมาให้เรา เราจะเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วไปปฏิบัติการ
2) ได้รับการประสานของส่วนราชการ หากส่วนราชการใดที่รับแจ้งเหตุหรือมีเบาะแส เช่น กอ.รมน. DSI ตำรวจ ปปส. ที่ประสานมาเป็นลายลักษณ์อักษรเราก็จะไปทำงานด้วยกัน
3) ผู้บังคับบัญชาสั่งมากรณีพิเศษ เช่น กรณีผู้บังคับบัญชาได้รับแจ้งข้อมูลข่าวสารจากประชาชนโดยตรง “เราไม่ได้ทำงานตามอำเภอใจ เพราะอยู่บนหลักระเบียบ กฎหมาย และงบประมาณของทางราชการ”