จากกรณีที่ "ตานอ-ยายแว่น" ได้เคยร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอดว่า ถูก "น.ส.แหม่ม" ลูกสาวคนเล็กวางยาเพื่อฮุบสมบัติกว่า 500 ล้านบาท ผ่านการโอนทรัพย์สินต่าง ๆ ไปเป็นชื่อลูกสาวคนเล็กโดยไม่รู้ตัวและนำเงินไปใช้ ซ้ำยังมีการกักขังสองตายายไม่ให้พบปะกับคนภายนอก ด้าน "นางส้มลิ้ม" ลูกสาวคนโตต้องแจ้งตำรวจเพื่อพาตัวออกมาได้สำเร็จ จนนำมาสู่การพาสองตายายไปตรวจเส้นผมหาสารพิษที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผลปรากฏว่าในเส้นผมของยายแว่นนั้นมีสารเคมีบางชนิดที่เป็นสารเสพติด ซึ่งออกฤทธิ์ส่งผลต่อระบบประสาทและทำลายสมอง หากใช้นอกเหนือจากคำสั่งแพทย์ก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งจากการตรวจสอบย้อนหลังกลับไป พบว่าเป็นยาที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับ น.ส.แหม่ม พอดี แต่หลังจากที่สองตายายออกมาอยู่กับลูกสาวคนโต อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น และไม่มีอาการหลงลืมหรือผิดปกติอีกเลย
ตายายเศรษฐี 500 ล้าน แจ้งจับลูกฮุบมรดก-พยายามฆ่า
หลังจากผลการตรวจนิติวิทยาศาสตร์ออกมา มีสารที่ร่างกาย ของยายแว่น วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2566) นางสาวอาภาพัสร์ พันธ์มุง หลานสาว ตานอ กับ ยายแว่น ได้พา 2 ตายาย ไปแจ้งความที่ โรงพักหนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
โดยเปิดใจกับข่าวช่อง 8 ว่า มาวันนี้แจ้งความพยายามฆ่าตากับยาย เพราะพฤติกรรมนั้นโหดร้ายมาก เลือดเย็น เอายาให้ตากับยาย กินเพื่อตายไปช้า ๆ เพราะผลตรวจออกมา ผลคือยายแว่น กินยาตัวที่ตรวจพบมาประมาณ 13-14 เดือนแล้ว ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียง ไม่ทำให้ตายทันที กินไปเรื่อย ๆ จะทำให้บ้า เสียสติ จะถึงขั้นตายได้ มาวันนี้จะแจ้งความพยายามฆ่า
ตอนนี้รู้สึกเสียความรู้สึกมากที่รู้ความจริงในเรื่องลูกวางยาพ่อกับแม่เอาสมบัติ ด้านตัวตากับยาย ตอนนี้แกนอนไม่ค่อยจะหลับ ค่อยจะถามอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไร ตอนนี้ตากับยายเครียดมาก อยากให้นางแหม่ม ลูกสาวคนเล็ก ออกมาอธิบายว่าเอายาอะไรให้ตากับยายกิน
ด้านตานอ เปิดใจกับช่อง 8 เหมือนเดิมว่า ลูกสาวคนเล็กจะเอาที่ดินคนเดียว พูดแต่เรื่องเงินเรื่องทอง วันนี้เสียใจมากที่โดนลูกตัวเองวางยา ก็ไม่นึกไม่ขวัญเลยว่าจะเป็นแบบนี้ เกิดมาไม่เคยเห็นคนวางยาพ่อแม่ พึ่งมาเห็นลูกตัวเองวันนี้ ผมตัดเลยลูกคนนี้ วันนี้ไม่เอาแล้วไม่ให้อภัย พ่อแม่จะตายอยู่แล้วยังจะมาวางยากันอีก จะเอาเงินหมื่อเงินล้าน ก็มาบอกกันดี ๆ ไม่น่ามาทำแบบนี้
ขณะที่นางสาวอาภาภัสร์ หรือ แพรว หลานสาวของตานอและยายแว่นก็ขอเปิดใจถึงประเด็นที่ตรวจพบสารประเภทให้โทษในร่างกายของยายแว่น โดย น.ส.อาภาภัสร์ เล่าว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องใหม่ ๆ ทางด้านของตานอก็พยายามพูดเรื่องยามาตลอด ซึ่งขณะที่ไปแจ้งความในครั้งแรก ตนก็ได้นำเรื่องนี้ไปบอกกับตำรวจ เพื่อจะเอาผิดกับคนที่บังคับให้ตายายกินยา แต่ตอนนั้นตำรวจแจ้งว่า "ไม่มีหลักฐาน เป็นเพียงคำพูดลอย ๆ ของคนแก่ จึงไม่สามารถแจ้งความได้" น.ส.อาภาภัสร์ จึงได้หันไปโฟกัสกับประเด็นยักยอกโอนทรัพย์สินแทน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือน ตานอก็ยังคงพูดถึงเรื่องยา ตนจึงตัดสินใจพาตากับยายไปตรวจเส้นผม ตอนแรกก็หวั่น ๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเจออะไรไหม จนท้ายที่สุดมาตรวจเจอสารประเภทหนึ่ง (ขอไม่บอกชื่อ) ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้แจ้งว่า ยาตัวนี้เป็นยาที่มีแต่ให้โทษ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับร่างกาย
หลังจากที่ทราบผลตรวจ ตนก็ได้พยายามโทรศัพท์ตรวจสอบกับทุกโรงพยาบาลที่ตากับยายเคยรับการรักษา ซึ่งทุกโรงพยาบาลยืนยันว่าไม่เคยจ่ายยาตัวดังกล่าวให้กับคนไข้เลย
ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ตนรู้สึกเหนื่อยเพราะเรื่องค่อนข้างยากและซับซ้อน และเชื่อว่าตากับยายเองก็เหนื่อยเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่มีโอกาสได้นั่งคุยกับตายาย ตนก็จะถามเสมอว่า "เหนื่อยมั้ย อยากสู้ต่อมั้ย ถ้าสู้ เราต้องสู้กันอีกนานนะ ไม่รู้ว่าผลสุดท้ายเราจะชนะไหม" ซึ่งทุกครั้งที่ถามแบบนี้ ตากับยายก็จะพูดว่า "สู้ซิ แค่นี้ไม่เหนื่อยหรอก ถ้าไม่ได้ของคืนก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก" ในเมื่อตายายบอกว่าอยากสู้ต่อ ตนก็ได้แค่เพียงทำหน้าที่คอยสนับสนุนทุกการตัดสินใจ
ส่วนหลังจากนี้ หากทางฝั่งทนายของ น.ส.แหม่ม จะออกมาโต้แย้งในประเด็นเรื่องของตัวยา ตนก็จะรอฟังว่าทางทนายจะเอาหลักฐานอะไรมายืนยัน เพราะทางทนายได้ออกมาพูดแล้วว่า เขาได้ไปตรวจสอบว่าตัวยาดังกล่าวเป็นยาที่โรงพยาบาลจ่ายให้ขณะที่ยายนอประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม ทำให้ข้อเท้าต้องเข้าเฝือกและมีการใช้ตัวยาในการบรรเทาอาการ
ซึ่ง ณ ตอนนี้ น.ส.อาภาภัสร์ ก็อยากถามหน่อย ว่าทนายของ น.ส.แหม่ม รู้ได้อย่างไรว่าเป็นยาตัวเดียวกับที่โรงพยาบาลจ่ายให้ ในเมื่อตนไม่เคยออกมาพูดหรือเปิดเผยเลยสักครั้ง ว่ายาที่ตรวจพบในเส้นผมของยายแว่น คือยาชนิดไหน อีกทั้งที่บอกว่ายายแว่นเคยรับการรักษาในอุบัติเหตุลื่นล้มจนต้องเข้าเฝือกอ่อน เรื่องนี้ตนก็ได้ตรวจสอบจากโรงพยาบาลมาแล้ว และไม่พบประวัติการรักษาเข้าเฝือกของยายแว่นเลยสักครั้ง
ท้ายที่สุดของเรื่องนี้ ตนก็ไม่รู้หรอกว่าจะจบลงอย่างไร ตายายจะได้สมบัติคืนไหม หรืออาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะยืดเยื้อไปอีกกี่เดือน กี่ปี แต่ตราบใดที่ตายายยังไม่ยอมแพ้ ในฐานะหลานสาว ตนก็อยากจะดูแลและช่วยเหลือตากับยายให้เต็มที่ และขอยืนยันว่าตนไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝงใด ๆ เพราะที่ตนอยู่ ณ จุดนี้ ตนก็ต้องเสียอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเรื่องของการทำงาน หรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินเรื่องต่าง ๆ ตนก็ควักออกจากกระเป๋าตัวเอง เพราะตากับยายเองก็ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรติดตัวออกมาเลย ตอนนี้ตายายก็ยังมีการร้องขอให้พากลับไปเอาทรัพย์สินและเงินสดร่วมแสนที่อยู่ภายในบ้าน น.ส.แหม่ม แต่ตนก็รู้อยู่เต็มอก ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีไหน เขาก็ไม่ยอมคืนให้แน่นอน
ทางด้านของตานอและยายแว่น ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว ที่มีการพบสารอันตรายในเส้นผมของตัวเอง โดยยายแว่นนั้นบอกว่า ตนรู้สึกเสียใจและรู้สึกโกรธที่ลูกสาวคนเล็กนั้นได้ทำกับตนเช่นนี้ ยืนยันว่าหลังจากนี้จะขอสู้ไม่ยอมถอย จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ต่อให้จะหอบเงินหอบทองกองโตมาให้ ก็จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ที่ผ่านมาตนไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกสาวคนนี้เลย ซ้ำลูกเขยก็ยังสร้างแต่เรื่อง ทั้งเสพยาบ้าในบ้าน ลักเล็กขโมยน้อย แอบเอาที่ดินของตนไปจำนำสารพัด ตนก็ไม่เคยเอ่ยปากว่า แต่ในวันนี้กลับเนรคุณ อกตัญญู เอาทรัพย์สินไปจนเกลี้ยง แล้วยังไม่ยอมให้ตนเข้าบ้านไปเอาของส่วนตัว แต่กลับไปพาคนนอกเข้ามาอยู่ในบ้าน จากที่เป็นบ้านของยายแว่นและตานอร่วมสร้างกันมา วันนี้บ้านกลับกลายเป็นชื่อของ "นายแดง" ลูกเขยตัวแสบ
ตานอยังเสริมอีกว่า ต่อให้ น.ส.แหม่ม จะติดคุกตลอดชีวิต ตนก็จะไม่สนใจ เพราะที่ผ่านมาตนดูแลลูกหลานมาอย่างดี จะขอรถขอบ้าน ตนก็สนับสนุนตลอด แต่มาวันนี้กลับมาก่อเรื่องก่อราวอย่างเจ็บแสบ ไม่คิดว่าคนเป็นลูกจะกล้าทำกับคนเป็นพ่อเป็นแม่แบบนี้
ทนายลูกสาวงัดหลักฐานเด็ดสู้ ที่มาของยาในเส้นผม
ขณะที่ทนายของ น.ส.แหม่ม ลูกสาวคนเล็ก ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวช่อง 8 ผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์ว่า ตนเองนั้นไปยื่นหนังสือที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566 เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้ตรวจสอบประวัติการรักษาของตานอและยายแว่นทั้งหมด ทุกโรงพยาบาล เพื่อเปรียบเทียบกับสารเคมีที่มีอยู่ในร่างกายและเส้นผมของคุณตาคุณยาย
ซี่งทนายนั้นบอกว่า ตนนั้นทราบแล้วว่าตัวยาดังกล่าวคือยาอะไร โดยบอกเพียงแค่ว่า "เป็นยาที่มีความรุนแรงมากกว่าพาราเซตามอล แต่ไม่เท่ามอร์ฟีน" ซึ่งตนก็ได้สอบถามไปยังลูกความทันที คือ น.ส.แหม่ม ก็ได้คำตอบว่า ยายแว่นนั้นเคยลื่นล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล และมีการใช้ยาตัวดังกล่าวในการบรรเทาอาการปวด ทำให้ตนไม่รู้สึกตกใจ เพราะประวัติการรักษาของยายแว่นมีทั้งหมด 6 โรงพยาบาล ขณะนี้ตนก็กำลังยื่นเอกสารขอประวัติการรักษาจากทุกโรงพยาบาล เชื่อว่ายังไงก็ต้องมีหลักฐานมายืนยันเรื่องนี้แน่นอน
นอกจากนี้ ทางด้านทนายก็ได้บอกกับช่อง 8 อีกว่า พรุ่งนี้ตนพร้อมกับพยานทุกคนจะตั้งโต๊ะและจะเปิดปากแถลงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดให้ประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน หลังจากที่หลายคนนั้นมีข้อสงสัยว่าทำไมฝั่งลูกสาวคนเล็กไม่เคยออกมาพูดอะไรเลย แต่ต้องขอบอกก่อนว่า พยานทุกคนในที่นี้จะไม่มี น.ส.แหม่มและนายแดง (สามี) เนื่องจากเขายังอยู่ในกระบวนการทางชั้นศาล จึงไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้ แต่ตนในฐานะทนาย พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยตัวตนและเปิดปากขอพยานคนอื่น ๆ