จากกรณีเหตุการณ์วันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ภายหลังจาก พ.อ.หม่องชิตตู่ ผู้บัญชาการควบคุมพื้นที่ 3 กองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ กองกำลังบีจีเอฟ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝ่ายทหารเมียนมา บ้านส่วยโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามบ้านวังแก้ว อ.แม่สอด จ.ตาก และบ้านวังผา ต.แม่จะเรา อ.แม่ระมาด ประกาศปิดท่าขนส่งสินค้าตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป ภายหลังจากไม่พอใจนายตำรวจใหญ่ระดับ พล.ต.ต. คนหนึ่งของไทย ที่เรียกเก็บส่วยในจำนวนมหาศาล
โดยคำสั่งของ พ.อ.หม่องชิตตู่ ระบุว่า ห้ามบุคคลต่างชาติ ทั้งชาวไทย และชาวจีน ข้ามไปฝั่งเมียนมาในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้การค้าชายแดนพื้นที่ดังกล่าวหยุดชะงักลงทันที สินค้าทุกชนิดไม่สามารถไปมาได้ การปิดท่าขนส่งสินค้าครั้งนี้ สร้างความงุนงงให้กับพ่อค้าชายแดนไทย-เมียนมา ที่ส่งสินค้าไปฝั่งเมียนมา ซึ่งจะมีผลกระทบกับฝั่งไทยในเรื่องการเดินทางเข้า-ออกของราษฎรระหว่างไทย และเมียนมา ซึ่งก่อนที่จะประกาศปิดท่าขนส่งสินค้า ทาง พ.ต.หม่องวิน ผบ.พัน.1018 ที่รับผิดชอบดูแล บ้านส่วยโก๊กโก่ รัฐกะเหรี่ยง ได้นำหนังสือไปให้ พ.อ.หม่องชิตตู่ ลงนาม และประกาศปิดพื้นที่ชายแดน เพื่อเป็นการตอบโต้การทำงานของนายตำรวจใหญ่ สังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 6 คนนี้
โดยหนังสือของฝ่ายกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ระบุชื่อนายตำรวจระดับ พล.ต.ต. คนนี้ ซึ่งได้ส่งนายตำรวจระดับพันตำรวจโท พร้อมตำรวจทั้งหมด 10 นาย ข้ามไปฝั่งเมียนมาที่บ้านส่วยโก๊กโก่ เพื่อขอเรียกเก็บผลประโยชน์ในอัตราที่สูงขึ้น และต่อรองราคาไม่ได้ โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของผู้บังคับบัญชาทำให้ พ.อ.หม่องชิตตู่ ไม่พอใจ เป็นอย่างยิ่ง จึงตอบโต้ด้วยการประกาศจะปิดชายแดนเป็นเวลา 3 เดือน
ขณะที่ทีมข่าวช่อง 8 ไปได้รับข้อมูลการรายงานผลการตรวจสอบทราบว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 3 พฤศจิกายน โดย พ.อ.หม่องชิตตู่ ประกาศจะปิดชายแดนในเขตรับผิดชอบด้านทิศเหนือใน จ.เมียวดี บริเวณจุดบ้านส่วยโก๊กโก่ ตรงข้ามบ้านวังแก้ว อ.แม่สอด และบ้านวังผา อ.แม่ระมาด ตลอดทั้งแนวชายแดน เนื่องจากไม่พอใจ นายตำรวจของไทยท่านหนึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้ว นายตำรวจคนดังกล่าว ปัจจุบันยศ พ.ต.อ. ที่กำลังจะขึ้นเป็น พล.ต.ต. และรักษาการในตำแหน่งหนึ่งภายในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ที่ส่ง พ.ต.ท. ส.เสือ อีกท่าน ตำแหน่ง สารวัตรสืบสวน สภ.แห่งหนึ่งในอำเภอแม่สอด พร้อมลูกน้องรวม 10 คน เข้ามาในพื้นที่ผ่านช่องทางธรรมชาติ (ไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง) ตรงบ้านวังผา อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อขอเรียกเก็บผลประโยชน์ในอัตราที่สูงขึ้นและต่อรองราคาไม่ได้ โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ทำให้ พ.อ.หม่องชิตตู่ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง จึงตอบโต้ด้วยการประกาศจะปิดชายแดนเป็นเวลา 3 เดือนตั้งแต่ 4 พฤศจิกายน เป็นต้นมา
ล่าสุดวันนี้ (6 พฤศจิกายน 2566) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังชายแดนไทยพม่า ในพื้นที่ บ้านวังแก้ว อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งจะอยู่ติดกับ บ้านโก๊กโก่ ด้านทิศเหนือใน จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา โดยจากการลงพื้นที่ไปยังแนวตะเข็บชายแดนดังกล่าว พบว่า ทางฝั่งบ้านโก๊กโก่ มีแม่น้ำกั้นระหว่างชายแดนไทย ตามข้อมูลกำลังมีการสร้างโรงงานและหมู่บ้านแห่งใหม่ของคนจีนอยู่ในพื้นที่ติดกับชายแดนฝั่งประเทศไทย ซึ่งจากภาพมุมสูง จะเห็นว่าจุดที่อยู่ติดกับชายแดนไทย ห่างไปประมาณ 5 กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของกาสิโนอยู่บนภูเขา ส่วนตึกสูงที่อยู่ติดกับท่าข้ามรถส่งสินค้า จะอยู่ติดกับเขตอำเภอพื้นที่ของ สภ.แม่ระมาด จ.ตาก
ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ได้โทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลล่าสุดจาก ร้อยเอกโอ ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของ พ.อ.หม่องชิตตู่ ผู้บัญชาการควบคุมพื้นที่ 3 กองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ กองกำลังบีจีเอฟ ถึงสาเหตุของการปิดจุดส่งสินค้าข้ามแดนที่จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา
โดยร้อยเอกโอ เปิดใจกับช่อง 8 ว่าสาเหตุที่ตัดสินใจปิดครั้งนี้ เนื่องจากชุดของนายตำรวจยศ พ.ต.อ.คนดังกล่าว เรียกเก็บเงินค่าส่วยในการข้ามด่านของคนจีนสูงเกินกว่าที่จะสามารถยอมรับได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการตกลงจ่ายกันอยู่ที่คนละประมาณ 1,000-1,500 บาท ซึ่งเป็นที่รับทราบกันดีทั้งสองฝั่งและไม่มีหน่วยงานใดมีปัญหา แต่มีปัญหาที่ชุดของ “พ.ต.อ.” คนนี้ ที่พอเข้ามารับตำแหน่งส่งลูกน้องมาเรียกเก็บเงินค่าหัวสูงถึงคนละ 3,000 บาท ซึ่งสูงเกินที่จะสามารถรับไหว
ตัวอย่างเช่นถ้าคนจีนเข้ามาลงทุนหรือเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งมักจะเข้ามาเป็นกลุ่มครั้งละหลายคน หรือยกตัวอย่างครั้งละ 10 คน ต้องจ่ายค่าส่วยในการเข้าออกไปมาถึงครั้งละ 30,000 บาท ซึ่งเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันเกินไป ทำให้เกิดผลกระทบกับทั่งสองฝ่าย
ตอนนี้ทางผู้ใหญ่ฝั่งไทยมีการโทรศัพท์มาพูดคุยแล้ว ซึ่งทางเราก็รอคำตอบจากการตั้งกรรมการสอบทางฝั่งไทย ก่อนจะดำเนินการขั้นต่อไป เพราะการมาเรียกเงินแบบขูดรีดไถแบบนี้เป็นการรีดไถเอาเปรียบกันแบบนี้ทางเรารู้สึกว่าเกินไป ซึ่งการที่เรามีคำสั่งแบบนี้ยังไม่ใช่การสั่งปิดแบบถาวร แต่เป็นการเตือนให้เจ้าหน้าที่ไทยหยุดการกระทำแบบนี้ ซึ่งชุดอื่นไม่มีปัญหาแต่พอชุดนี้มามีปัญหาทันที
ส่วนการลงพื้นที่ตรวจสอบท่าข้ามส่งสินค้า วันนี้มีทาง พ.ต.อ.มนต์ศักดิ์ แก้วอ่อน ผกก.สภ.แม่สอด จ.ตาก ได้มีการนำกำลังไปตรวจสอบท่าข้ามส่งสินค้าระหว่างประเทศ จำนวน 3 จุด คือ ท่าข้ามบ้านวังแก้วที่ 23 และท่าข้ามฟากที่ 18 รวมถึงท่า 19 ซึ่งจุดแรกที่ไปตรวจสอบ คือ ท่าข้ามบ้านวังแก้ว 23 ใน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด โดยท่าแห่งนี้ ยังมีการเดินเรือข้ามฟากไปส่งรถบรรทุกสินค้าเข้าออกตามปกติ
โดย พ.ต.อ.มนต์ศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ที่มาตรวจสอบท่าข้ามฟากและมีการให้ลูกน้องถ่ายคลิปเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา สืบเนื่องมาจากมีคำสั่งให้ทาง ผกก. ในพื้นที่แม่สอดและพื้นที่แม่ระมาด ไปตรวจสอบตามกระแสข่าวดังกล่าวว่ามีจุดไหนที่มีการลักลอบนำคนข้ามพรมแดน และท่าข้ามฟากมีการถูกปิดตามกระแสข่าวหรือไม่ โดยจากการตรวจสอบในวันนี้ ท่าข้ามฟากทั้ง 3 ท่า ไม่มีการลักลอบนำคนจีนเทาข้ามพรมแดน และที่ท่าข้ามทั้ง 3 ท่า ก็ยังเปิดให้บริการตามปกติ
ส่วนกระแสข่าวในเรื่องที่มีนายตำรวจ นำกำลังไปเรียกรับส่วยจากคนจีนเทาเพิ่ม ขณะนี้ทางตำรวจแม่สอด อยู่ระหว่างส่งชุดสืบสวนข้ามฝั่งไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนจะมีมูลความจริงมากแค่ไหน เรื่องนี้ยังตอบไม่ได้เพราะต้องรอฝ่ายสืบสวนกลับมารายงานข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาเพื่อนำเรียนผู้บังคับบัญชา ยืนยันในเบื้องต้นเหตุการณ์ยังปกติ ไม่ได้มีการปิดกั้นการส่งสินค้าข้ามแดนตามข่าวลือดังกล่าว
ล่าสุดวันนี้ ทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับ พ.ต.ท. ส. ที่ถูกกล่าวอ้างตามรายชื่อ ซึ่งเป็นสารวัตรสืบที่นำลูกน้อง 10 คนข้ามไปเรียกรับเงินเพิ่มจากกลุ่มจีนเทา เปิดใจกับช่อง 8 ว่า ส่วนตัวขอยืนยันว่า ไม่เคยได้รับคำสั่งหรือนำลูกน้อง 10 คนข้ามไปเก็บส่วนคนจีนตามที่ถูกกล่าวหา และที่ผ่านมา ก็ทำงานอยู่แค่ในพื้นที่ ที่รับผิดชอบ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่รู้ว่าชื่อของตนเองไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้ยังไง หากตนเองนำกำลังไปจริง ขอท้าให้คนปล่อยข่าวนำภาพวงจรปิดมาเปิดเผย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยไปที่ด่านพรมแดนดังกล่าว
ส่วนความสนิทสนมกับ ว่าที่ พล.ต.ต. ส. เรื่องนี้ยอมรับว่ารู้จักกันแต่ไม่สนิท ส่วนเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบข้อเท็จจริง เรื่องนี้ไม่ได้กังวลอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ความจริงก็คือความจริง ซึ่งขณะนี้ตนเอง อยู่ระหว่างทำหนังสือรายงานความบริสุทธิ์ใจให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น