จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (5 พ.ย. 66) เวลา 12.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวย สภ.เลาขวัญ ได้รับแจ้งเหตุยิงกันที่บริเวณป่าสักพื้นที่บ้านพุบอน ม.3 ต.เลาขวัญ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายเสริมศักดิ์ หรือต้าร์ อายุ 38 ปี ถูกยิงเข้าที่ใบหน้าและลำตัว รวม 3 นัด นายบุญส่ง อายุ 50 ปี ถูกยิงเข้าที่ใบหน้าและลำตัว รวม 3 นัด ส่วนผู้ต้องหา คือ นายจิระเดช หรือต้อม อายุ 36 ปี ซึ่งปมเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากตัวนายต้อมนั้นได้ไปถูกอกถูกใจของ น.ส.เนย (นามสมมติ) อายุ 18 ปี จึงได้พยายามเข้ามาจีบตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 หลังจากนั้นนายต้อม (ผู้ต้องหา) ก็ได้หายหน้าหายตาไป และกลับมาจีบ น.ส.เนย อีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีการชวน น.ส.เนย ไปเดินเล่นแถวเขื่อนและจู่ ๆ นายต้อมก็ได้พุ่งเข้ามาทุบตี น.ส.เนย ตั้งแต่นั้นมา น.ส.เนย จึงเริ่มกลัวและพยายามหลบหลีกนายต้อม แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายต้อมนั้นได้พยายามแวะเวียนมาที่บ้านของ น.ส.เนย บ่อย ๆ มาวันละหลายครั้ง จนล่าสุดเมื่อวานนี้ (5 พ.ย.66) นายต้อมก็ได้เข้ามาที่บ้านอีกครั้ง จนท้ายที่สุดนายต้อมก็ก่อเหตุดังกล่าวขึ้น
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 มีโอกาสได้พูดคุยกับ นางสาวมด อายุ 33 ปี ซึ่งแม่ของ น.ส.เนย และเป็นแฟนของนายเสริมศักดิ์หรือต้าร์ (ผู้ตาย) โดยนางสาวมดเล่าว่า นายต้อมนั้นได้พยายามเข้ามาติดพันกับลูกสาวของตน และเริ่มหนักข้อขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนายต้อมมักจะขี่รถมอเตอร์ไซต์มาจอดที่หน้าบ้านเรียก น.ส.เนย วันละหลายครั้ง ซึ่งลูกสาวของตนนั้นไม่เล่นด้วยเพราะกลัวในพฤติกรรมรุนแรงของนายต้อม จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เวลา 05.00 น. นายต้อมนั้นได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของชาวบ้านมาหาลูกสาวตน และได้มาตะโกนเรียกชื่อเนยอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นตนจึงบอกนายต้อมให้กลับไปก่อน และตนจะเป็นคนไปส่งนายต้อมเอง แต่ ณ ตอนนั้น รถมอเตอร์ไซค์ของตนน้ำมันหมด ตนจึงจำใจชวนนายต้าร์ให้เดินไปส่งนายต้อมด้วยกัน ทั้งสามคนก็ได้เดินมาตามถนน จนถึงบริเวณป่าสัก นายต้อมก็ได้เอ่ยปากบอกว่าให้เข้าไปนั่งคุยกันข้างในป่าสัก และเป็นจังหวะเดียวกับที่นายบุญส่ง (ผู้ตาย) กำลังเดินกลับจากหาของป่าพอดี นายต้อมจึงได้ชวนนายบุญส่งเข้าไปในป่าสักด้วยกัน
โดยเหตุการณ์หลังจากที่เข้าไปนั่งในป่าสัก เป็นเวลาประมาณ 06.00 น. (เช้า) ขณะที่นายบุญส่งหยิบขวดมะม่วงห่าวมะนาวโห่ออกมาจากถุงย่ามให้นายต้าร์ลองชิม จู่ ๆ นายต้อมก็ได้ชักอาวุธปืนมายิงใส่นายต้าร์ 3 นัด ทำให้นายต้าร์นั้นแน่นิ่งไปทันที จากนั้นก็หันไปยิงนายบุญส่งอีก 3 นัด ทางด้านนางมดเห็นดังนั้นจึงเข้าไปแย่งปืนจากนายต้อม แต่ไม่เป็นผล จากนั้นนายต้อมก็หันมาพูดพร้อมยิ้มหัวเราะ บอกว่า "ผมกะจะยิงแม่ด้วยนะ แต่เห็นว่ายังมีประโยชน์ เลยเก็บไว้ก่อน ไปแม่ เดี๋ยวผมพาไปส่งบ้าน ไม่เป็นไรนะ" จากนั้นนายต้อมก็ได้เดินจูงมือ น.ส.มด ไปส่งที่บ้าน พร้อมขู่ว่า "ไม่ต้องไปบอกใครนะ ไม่มีใครช่วยอะไรได้หรอก แม่ก็แค่หายไปเงียบ ๆ ก็พอ ส่วนลูกสาวแม่ เดี๋ยวผมดูแลเอง" ทำให้ น.ส.มด นั้นไม่กล้าปริปากบอกใคร จนเวลาเกือบเที่ยง ตนรู้สึกอดไม่ไหวจึงนำเรื่องดังกล่าวไปบอกลูกสาว จึงจะมีการแจ้งตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
จากนั้นก็ได้มีการทำพิธีเชิญดวงวิญญาณของนายเสริมศักดิ์ หรือต้าร์ ให้ออกจากสถานที่ดังกล่าว โดยขณะกำลังจุดธูปเพื่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางและเรียกชื่อให้นายต้าร์กลับไปพร้อมกัน น.ส.มด ก็ได้บอกว่าตัวเองนั้นขนลุกที่แขนขวา และสัมผัสได้ถึงนายต้าร์ จึงได้ทำการร้องไห้พลางบอกให้นายต้าร์นั้นกลับไปพร้อมกัน และขอโทษที่ชวนนายต้าร์เดินออกไปส่งนายต้อมตอนเช้ามืด
ทางด้านนายเต้ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี เผยว่าตนนั้นได้ไปนอนเปลกับแฟนในป่าสัก จากนั้นนายต้อมก็เดินเข้ามาปลุก ซึ่งตอนนั้นตนก็สะลึมสะลือเพราะยังเช้าอยู่ และกำลังตั้งท่าจะลุกขึ้นไปปัสสาวะ ขณะที่กำลังควานหารองเท้าและหันหลังให้นายต้อม จู่ ๆ ตนก็ได้ยินเสียงปืนดังรัว 3 นัด ตนจึงรีบอุ้มแฟนลุกขึ้นจากแปลและพาวิ่งหนีออกจากที่เกิดเหตุทันที โดยตนก็ไม่ได้หันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น หรือใครเป็นคนยิง นาทีนั้นคิดแค่ว่าต้องการจะหนีไปให้ไกลที่สุด
เมื่อทีมข่าวถามว่า ไปรู้จักหรือสนิทสนมกับนายต้อมตั้งแต่เมื่อไร เนื่องจากพื้นที่ในป่าสักแห่งนี้เป็นพื้นที่ลับตาคน จะมีแค่คนในกลุ่มเท่านั้นที่จะเข้ามาได้ เพราะทางเข้าค่อนข้างลึกและซับซ้อน ทั้งนี้ในป่ายังมีร่องรอยของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเสพสารเสพติดอีกด้วย ทางด้านนายเต้ก็เล่าว่า ตนนั้นไม่ได้รู้จักถึงขั้นสนิทกับนายต้อม แต่ที่ตนเข้ามาในป่าสักแห่งนี้ เป็นเพราะตนกับแฟนสาวได้แอบคบกันลับ ๆ ไม่ให้ผู้ใหญ่รู้ จึงพากันมานั่งเล่นที่นี่ด้วยกันบ่อย ๆ และมีอยู่วันหนึ่ง นายต้อมน่าจะเห็นตนเดินเข้าในป่าสัก นายต้อมจึงได้เดินตามเข้ามาและพูดคุยถามไถ่ก็เท่านั้น ตนไม่เคยชวนนายต้อมเข้ามา และไม่รู้ว่านายต้อมจะก่อเหตุดังกล่าว หลังทราบก็รู้สึกตกใจ เพราะวันนั้นตนก็อยู่ใกล้กับนายต้อมมากกว่าผู้ตายเสียอีก
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปที่ วัดแสลบเขต ต.หนองประดู่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของ นายเสริมศักดิ์ ขุนกลาง หรือต้าร์ โดยบรรยากาศภายในงานก็มีเพียงญาติ ๆ ของนายต้าร์ที่ได้เข้ามานั่งล้อมวงพูดคุยกันและเปิดดูภาพถ่ายเก่า ๆ ของนายต้าร์
จากนั้นทางด้าน น.ส.กระแต (นามสมมติ) อายุ 36 ปี ซึ่งน้องสาวของนายต้าร์ (ผู้ตาย) ได้เผยว่า ตัวของนายต้าร์นั่นเพิ่งจะไปคบหากับแฟนคนนี้ได้ประมาณ 5-6 เดือน ซึ่งพี่ชายเองก็เคยบอกแค่ว่า มีลูกเลี้ยง แต่ก็ไม่เคยเล่าถึงปัญหาอะไรให้ฟัง เพราะตนนั้นอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไหร่ แต่เมื่อวานนี้ช่วงบ่าย ทางด้าน น.ส.มด ก็ได้โทรศัพท์มาบอกว่า พี่ต้าร์ถูกยิง ตนก็รีบเดินทางมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี โดยตอนแรกก็คิดว่าพี่ชายคงจะแค่บาดเจ็บ แต่เมื่อมาถึง ปรากฏว่าพี่ชายตนได้เสียชีวิต ซึ่งถูกนายต้อม เพื่อนวัยเรียนของเธอเป็นคนก่อเหตุ เธอก็ไม่คิดว่านายต้อมจะเป็นคนโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้
หลังจากที่เกิดเรื่อง ตนก็ยังไม่ได้ยินคำขอโทษจากปากของครอบครัวผู้ก่อเหตุ และเขาก็ยังไม่เข้ามาด้วยตัวเอง ทำเพียงแค่ส่งผู้ใหญ่บ้านมาพูดคุยเจรจา โดยบอกว่าจะให้เงิน 3-4 หมื่นบาท ซึ่งตอนนั้นตนรู้สึกโกรธ เพราะเขามาตีราคาพี่ชายของตนทั้งคนด้วยเงินจำนวนนั้น หรือต่อให้ได้เงินเป็นล้านก็ยังไม่คุ้ม เพราะครอบครัวต้องเสียพี่ชายไปทั้งคน น.ส.กระต่าย จึงตัดสินใจไม่รับเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมบอกว่า หากทางครอบครัวผู้ก่อเหตุจะเข้ามาติดต่อเรื่องนี้อีก ตนก็ยังไม่พร้อมจะคุย เพราะตนเป็นคนสูญเสีย ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ และหวังว่าทางครอบครัวผู้ก่อเหตุจะแสดงความรับผิดชอบที่เหมาะสมมากกว่านี้ พร้อมทั้งยืนยันว่าอย่างไรก็จะเอาเรื่องนายต้อมให้ถึงที่สุด ติดคุกตลอดชีวิตได้ยิ่งดี
โดยวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เลาขวัญ ได้มีการนำตัวพยานในที่เกิดเหตุไปชี้จุดเพื่อบันทึกไว้สำหรับการส่งสำนวนคดี ซึ่งก็มีชาวบ้านละแวกดังกล่าวเข้ามามุงดูด้วยความสนใจจำนวนมาก จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้พาตัว "นายต้อม" มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ โดยให้เหตุผลว่านายต้อมนั้นกลัวถูกรุมประชาทัณฑ์ จึงข้ามในส่วนการทำแผนฯ ตามสิทธิ์ของผู้ต้องหา และจะมีการฝากขังในวันพรุ่งนี้
ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฆ่าคนตายและพรบ.อาวุธปืน ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย และจากการตรวจสอบประวัติพบว่า เมื่อปี 2559 นายต้อมนั้นเคยก่อเหตุฆ่าผู้สูงอายุนำศพไปยัดเตาเผาถ่านจุดไฟเผาอำพรางคดีมาแล้ว โดยมีปมเหตุ คือ นายต้อมนั้นได้ไปขอเงินยายคนหนึ่ง แต่ทางยายไม่ให้ นายต้อมจึงโกรธและลงมือก่อเหตุฆาตกรรมอำพราง ทำให้ศาลตัดสินจำคุก 25 ปี แต่นายต้อมได้ติดคุกจริงแค่ 5 ปี และเพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปีแล้ว ก่อนกลับมาอยู่บ้านแล้วก่อเหตุยิงตายอีก 2 ศพเมื่อวานนี้
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 จึงได้ย้อนรอยคดีเมื่อปี 2559 ซึ่งเป็นคดีที่ "ยายสาว" วัย 60 ปี ถูก "นายต้อม" นั้นลงมือฆ่าก่อนนำร่างยัดเตาเผาถ่านจุดไฟเผาอำพราง
โดยทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ ต.หนองประดู่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี และได้พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว นายต้อมนั้นเคยก่อเหตุฆ่าคนตาย คนที่เป็นเหยื่อตอนนั้นชื่อว่า "ยายสาว" โดยยายเป็นคนอีสาน ที่เข้ามาทำงานเลี้ยงแพะให้กับครอบครัวของนายต้อม (ผู้ต้องหา) และขณะนั้นเอง นายต้อมนั้นเป็นคนติดยาบ้ารุนแรง จนอยู่มาวันหนึ่งนายต้อมนั้นได้เข้าไปขอเงินกับยายสาว เพื่อจะเอาเงินไปซื้อยาบ้า แต่ยายสาวเองก็ไม่มีเงิน จึงได้ปฏิเสธป ด้วยความโกรธนายต้อมจึงลงมือทำร้ายยายสาวจนบาดเจ็บ จากนั้นก็นำร่างของยายสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ไปยัดในเตาเผาถ่านแล้วใช้ยางรถยนต์ 5 เส้นโยนทับตัวยายสาวไว้ จากนั้นก็จุดไฟเผายายสาว จนต่อมาทางด้านพ่อของนายต้อมมาเห็นเหตุการณ์ จึงได้เรียกตำรวจให้มาจับตัวลูกชายไป ชาวบ้านยังบอกอีกว่า วันที่เกิดเหตุมีคนได้ยินเสียงคล้ายคนกรีดร้องออกมาจากเตาเผาถ่าน แต่ไม่มีใครกล้าออกไปดู จนวันต่อมาถึงมาพบยายสาวที่เหลือเพียงโครงกระดูก
ตั้งแต่นั้นมาทางด้านลูกหลานของยายสาวก็ได้แยกย้ายกันออกไปอยู่ที่อื่น เพราะไม่มีใครกล้าอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากครอบครัวนายต้อมค่อนข้างมีอิทธิพลในพื้นที่เป็นอย่างมาก มองว่านายต้อมนั้นเป็นบุคคลอันตราย ก่อวีรกรรมที่โหดเหี้ยมหลายต่อหลายครั้ง แต่ติดคุกได้ไม่นานก็ออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ในครั้งนี้มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจควรจะดำเนินการกับนายต้อมอย่างเหมาะสม