จากกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันได้ลงข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ว่าได้นั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะกับเพื่อนเพื่อเดินทางกลับโรงแรม ระหว่างท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ 5 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 02.00 น. ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย บริเวณถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ ได้เรียกตรวจค้นและพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง เรียกรับเงินสดเป็นจำนวน 27,000 บาท แล้วปล่อยตัวแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น
ภายหลังพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับอดีตตำรวจทั้ง 6 นาย รวม 2 ข้อหา คือ “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่" และ "เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต”
โดยรายชื่อตำรวจทั้ง 6 นาย มีดังนี้
1. ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางคุลเสน อดีต รอง สวป.สน.ห้วยขวาง
2. ร.ต.อ.ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา อดีต รอง สว.ธร.สน.ห้วยขวาง
3. ด.ต.กฤษฎา คำมะนา อดีต ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง
4. ส.ต.อ.นันทวัชร์ สุวรรณา อดีต ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง
5. ส.ต.อ.เฉลิมชัย ศิริวังโส อดีต ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง (ปล่อยตัววันนี้)
6. ส.ต.อ.วัชรนนทร์ ขาวผ่อง อดีต ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง (ปล่อยตัววันนี้)
โดยขณะนั้น ในชั้นสืบสวนให้การรับสารภาพ แต่ในชั้นการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ พงส.มีพยานหลักฐานมากกว่าคำรับสารภาพ จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 คน นำส่งศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ เพื่อนำตัวฝากขังและค้านประกันตัวเนื่องจากโทษสูง
ล่าสุดวันนี้ 8 พฤศจิกายน 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษา โดยมีการพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 / มาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ตัดสินให้จำคุกคนละ 5 ปี
และมีการยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 5-6 เนื่องจากพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 5-6 เข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิดในการกระทำผิดที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกันเรื่องดังกล่าว หากย้อนกลับไปคดีนี้ทาง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นคนประสานทางด้านดาราผู้เสียหายชาวจีน และให้การช่วยเหลือโดยมีการแถลงข่าวพูดถึงประเด็นเจ้าหน้าที่ตำรวจรับสินบน โดยครั้งนั้นทางชูวิทย์ได้มีการเอาปี๊บมาตีโชว์นักข่าว สื่อถึงผู้บัญชาการตำรวจควรเอาปี๊บมาคลุมหัว จนนำมาสู่การตัดสินคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย มีการรับสินบนจริง และถูกศาลตัดสินจำคุกคนละ 5 ปีดังกล่าว ซึ่งถือว่าคดีนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานของชูวิทย์
อย่างไรก็ตาม จากกรณีมีภาพชูวิทย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งคนใกล้ชิดเผยว่านายชูวิทย์ กำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษ และจะเดินทางต่อไปที่สกอตแลนด์ เพื่อรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และใช้ชีวิตพักผ่อนกับครอบครัวอย่างไม่มีกำหนดกลับไทย โดยมีลูกสาว ต๊ะ ตระการตา กมลวิศิษฎ์ ดูแลอยู่เคียงข้าง นายชูวิทย์ ไม่ห่าง นั้น
ล่าสุด นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตำรวจสันติบาล ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงพูดถึงชูวิทย์ ไม่เชื่อว่าป่วย พร้อมประกาศชัด "ผมไม่มีวันให้อภัยคนอย่างชูวิทย์"
โดยนายสันธนะ เผยว่า ตนนี่แหละเป็นคู่กรณีกับชูวิทย์และปะทะคารมกันบ่อยครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น จริง ๆ แล้วก่อนหน้าที่คุณชูวิทย์จะเดินทางไปประเทศอังกฤษ ได้มีบุคคลหนึ่งเป็นนายตำรวจโทรศัพท์เข้ามาหาตน บอกว่า ถ้าเป็นไปได้ให้เรื่องตนกับชูวิทย์จบ ๆ กันไป แต่ตนไม่ยอม
เบื้องต้นจากคำแถลงดังกล่าว นายสันธนะไม่เชื่อเรื่องป่วย ใครจะมารู้ดีเรื่องคุณชูวิทย์เท่ากับตน เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่คุณชูวิทย์ทำธุรกิจต่าง ๆ มันมีเรื่องที่เขารู้กันดีอยู่ พร้อมโชว์ภาพในอดีตที่เคยร่วมเฟรมกับชูวิทย์ เพื่อเอามาแย้งคำพูดของชูวิทย์ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเจอตนมาก่อน
ยืนยันว่า ตนกับชูวิทย์รู้จักกันดี สนิทกันยิ่งกว่าอะไร ดังนั้นตนไม่เชื่อว่าสิ่งที่ชูวิทย์บอกว่าป่วย ส่วนตัวเชื่อว่าชูวิทย์เล่นละคร ถึงวันนี้และหลังจากนี้ไม่ต้องมาถามอีก บอกได้แต่เพียงว่าธรรมชาติกำลังลงโทษเขา หากถามมามากกว่านี้ก็จะบอกว่า อยากให้สิ่งที่ผิดธรรมชาติลงโทษเขา ตนไม่มีอะไรจะพูดถึงชูวิทย์อีกแล้ว “ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี แต่ผมไม่ได้เลวเท่าเขา”
"เอาจริงชูวิทย์น่าจะหลอกสื่อ แต่หากจะให้พูดว่ายอม ผมก็บอกเลยว่า ผมไม่อโหสิกรรม จะใกล้ตายหรือไม่ ไม่ทราบ แต่เห็นว่าหน้าจ๋อยนั่งวีลแชร์ ผมไม่เชื่อ"