ในส่วนของจ.สตูล พื้นที่เขตรอยต่อ 3 จังหวัดอยู่ในพื้นที่ถ้ำภูผาเพชร อ.มะนัง และบ้านราวปลา ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า ซึ่งทาง 2 จุดมีการตั้งด่านตรวจเพื่อสกัดเสี่ยแป้งตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งบริเวณจุดตรวจด่านคีรีวง อ.ทุ่งหว้า และพื้นที่ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง โดยสนธิกำลังกับฝ่ายปกครองอ.มะนัง ขณะที่ชุดปฏิบัติการจรยุทธก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งออกลาดตระเวนสกัดตามเส้นทางที่เข้า-ออกบริเวณเทือกเขาบรรทัด ตามตีนเขาและเชิงเขา เป็นการปิดล้อมเขาบรรทัดด้านจ.สตูล ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่พร้อมๆกัน 3 จังหวัด
พล.ต.ต.จารุต ศรุตยาพร ผบก.ภ.จว.สตูล กล่าวว่า ในส่วนของจ.สตูลนั้นยังคงตรึงกำลังเต็มที่ ไม่ได้ปรับลดกำลังตร. มีแต่จะเพิ่มขึ้นมาคือ ต.เขาขาว อ.ละงูซึ่งติดกับอ.ทุ่งหว้า และอ.ควนกาหลง อยู่ติดกับอ.มะนัง รวมทั้งอ.ท่าแพ ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านสามารถเชื่อมต่อกับละงูและควนกาหลงได้ ถือเป็นเส้นทางรอง ซึ่งทีมที่เสริมเพิ่มขึ้นตามสภาพพื้นที่ ส่วนการเดินบนเขา มีการปรับแผนเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเดินลาดตระเวนตามปกติ และรอบๆเชิงเขาด้านล่างก็ยังเหมือนเดิม ทีมที่เสริมขึ้นมาถือเป็นการเสริมเพื่อปิดรอยต่อช่องทางทางธรรมชาติระหว่าง 2 ด่าน เช่นอ.ทุ่งหว้า ที่เสริมเข้าไปเพราะบริเวณช่องทางธรรมชาติ ลงสู่ตีนเขามีเยอะ เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านขึ้นเขาหาของป่า กำลังที่ตั้งขึ้นเพื่อสกัดเสี่ยแป้ง ข้อดีคือเป็นการลดปัญหาอาชญากรรม ป้องกันอาชญากรรมอื่นๆไปด้วยในตัว ซึ่งเสี่ยแป้งนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ต่างก็หวาดระแวง เพราะเป็นคนร้ายผ่านคดีมาโชกโชน สายตาชาวบ้านเองไม่อยากให้เข้ามาในพื้นที่ก็เลยให้ความร่วมมือกับตำรวจ กำนัน ผญบ. มาคอยสนับสนุนหาอาหารเสบียงมาเพิ่มเติมให้ เขาอุ่นใจเมื่อเราเข้าไปอยู่ ส่วนเรื่องที่เสี่ยแป้งจะหลุดไปยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น แนวโน้มเปอร์เซ็นต์ที่จะเข้าไปในมี แต่ในความรู้สึกส่วนตัวคิดว่าในมาเลเซียเขาเข้มงวดมาก หากไม่มีพรรคพวกที่สนิทคดีร้ายแรงแบบนี้ ยิ่งมีปืนมีอาวุธและทางการไทยตามล่า โอกาสเข้าไปมาเลเซียแล้วรอดนั้นยาก อยู่เมืองไทยของยังมีเครือข่ายพรรคพวกคอยช่วยเหลือ ซึ่งในส่วนของทางทะเล ทางตร.ภูธรเองก็ได้ประสานงานกับศรชล.ตร.น้ำ อยู่ตลอด ยิ่งศรชลเขามีเครือข่ายชาวประมงเยอะ หากเข้ามาเราต้องรู้ โดยเฉพาะเครือข่ายประมงของ
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 9 และตำรวจ กก.สส.ภ.จว.ตรัง ที่ได้ขึ้นไปปฎิบัติหน้าที่อยู่เหนือชุมชนบ้านตระ เป็นระยะเวลาจำนวน 2 วัน ได้ขับรถจักรยานยนต์ลงมาเปลี่ยนเวร จำนวนประมาณ 4-5 นาย ในสภาพที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก พร้อมกับต้องแบกเป้สะพายหลังอันใหญ่ และสัมภาระ พร้อมกับแบตเตอร์รี่ ขนาด 10 วัตต์ ที่ใช้สำหรับวิทยุสื่อสาร เพื่อใช้ติดต่อกับกองอำนวยการร่วมที่อยู่ด้านพื้นล่างบริเวณน้ำตกโตนเต๊ะ ซึ่งอยู่ห่างกันเป็นระยะทางหลาย 10 กิโลเมตร ลงมาชาร์จแบตเตอร์รี่ เพื่อนำขึ้นไปปฎิบัติหน้าที่ใหม่ในวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย.)
ขณะที่ตำรวจภูธรภาค 9 นายหนึ่ง ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นดรีม สีขาว-แดง ลงมาจากเทือกเขาในสภาพรถพังเสียหาย และเต็มไปด้วยดินโคลน และมีร่องรอยดินโคลนติดตามเสื้อผ้าและลำตัว หลังจากเกิดอุบัติเหตุขับลงมาจากชุมบ้านตระ พร้อมกับ เล่าว่า ในจังหวะขับรถลงเนินเขา พื้นลื่น ประกอบกับยางล้อรถเป็นยางดอกลึก และยางตึงเกินไป ลืมปล่อยลมยางออกสักนิด ทำให้ล้อหลังฟาด จังหวะนั้นหากเบรก รถก็จะล้มลงไปยังเหว ตนจึงสละรถและทุ่มตัวออกมาจากตัวรถทันที และตัวรถได้ไปติดกับต้นไม้ โชคดีที่ตนไม่ได้รับบาดเจ็บ และกู้รถขึ้นมาขับลงมาได้ในด้านล่าง ในการปฎิบัติหน้าที่ครั้งนี้ตนขึ้นไปประจำอยู่ที่ขนำ ซึ่งขึ้นไปภูเขาห่างจากพื้นล่างไปประมาณ 16 กิโลเมตร เป็นระยะเวลาจำนวน 2 วันแล้ว บางช่วงรถขับไปไม่ได้ ก็ต้องอาศัยการเข็น เพราะตนต้องบรรทุกแบตเตอร์รี่ ที่ต้องใช้กับวิทยุสื่อสารไปด้วย เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
ระหว่างเดินลุยป่าผู้ใหญ่สิงห์พาทีมข่าวพักชั่วคราว โดยพาไปดูต้นหวายที่อยู่ในป่า จากนั้นผู้ใหญ่ก็จำลองทำทับที่พรานป่า ชาวบ้าน และผู้นำชุมชนนิยมทำกันหากจะพักกลางป่า โดยทับ คือ การใช้กิ่งไม้ในป่าโดยใช้สองกิ่งโน้มลงมาประสานหรือทับกันเพื่อเป็นที่บังแดดบังฝนได้ชั่วคราวเท่านั้น จากนั้นก็จะเอากิ่งไม้บางส่วนหักมาหรือตัดมาแล้วนำมาทับกันเพื่อเป็นที่นั่งบนพื้นดิน
ส่วนเพิงพัก คือ นำแคร่มาประกอบรูปร่างเป็นที่พักและมีการลงเสาที่พื้นดิน 4 เสาไว้ แต่ส่วนใหญ่น้อยคนที่จะสร้างเพิงพักกลางป่า แต่ในส่วนชื่อว่านั่งขอนไม้หรือกิ่งต้นไม้ทั้งพรานป่าและชาวบ้านไม่นิยมทำสิ่งนี้บนเทือกเขาบรรทัด เพราะการทำทับหรือทำเพิ่งกลางป่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ทำต่อๆกันมา
นอกจากนั้นสิ่งที่ต้องระวังอีกคือต้นไม้ที่มีหนามในป่า ซึ่งบางต้นมีหนามยาว 1 นิ้ว รอบต้น หากถูกเกี่ยวหนามอาจเข้าแทงเส้นเลือดซึ่งบางครั้งอาจทำให้ติดเชื้อหรือได้รับบาดเจ็บ และยิ่งหากถูกหนามต้นไม้ในป่าตำช่วงฝนตก อาจเรียกทากที่อยู่ในป่ามาดูดเลือดได้