จากกรณีนายจาตุรงค์ เจ้าบ่าวได้ใช้ปืนแมคกาซีนกราดยิงเจ้าสาว แม่เจ้าสาว น้องเมีย และเพื่อนที่มาช่วยงานอีก 2 คน แล้วยิงตัวเองตายตาม รวมมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 5 ราย

สะใภ้โดนผีแม่ยายสิงร่าง คาดเป็นห่วง

วันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวตุ๊ก ลูกสะใภ้ของนางกิ่งทอง ผู้เสียชีวิต และเป็นแม่ของเจ้าสาว บอกกับทีมข่าวว่า เมื่อวานนี้ตัวเองรู้สึกตัวเล็กน้อย ว่าตัวสั่น ตัวเกร็ง และมีอาการกรีดร้อง หลังจากที่รับศพของทั้ง 3 มาถึงวัด ด้วยตัวเองเชื่อว่าที่ตัวเองมีอาการแบบนั้น น่าจะถูกนางกิ่งทอง แม่ยายของตัวเองที่เสียชีวิต มาเข้าสิงร่างตัวเอง เนื่องจากเขาน่าจะเป็นห่วงลูกๆ และตัวเองเป็นคนจิตอ่อน จึงอาจถูกวิญญาณสิงร่างได้

นางสาวตุ๊ก ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวถึงประเด็นเรื่องเงินสินสอดว่า ตัวเองเชื่อว่าปมในการก่อเหตุครั้งนี้น่าจะมาจากปัญหาเรื่องหึงหวง เนื่องจากฝ่ายชายเป็นคนขี้หึง ไม่น่าจะเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการแบ่งเงินสินสอด เพราะหลังจากแต่งงานเสร็จ ตัวเองก็เป็นคนนับเงินสินสอดดังกล่าว เป็นเงิน 100,000 บาท และเงินค่าซองที่แขกนำมาให้ในงานแต่งอีกจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากมาย ส่วนที่ฝั่งนั้นได้ข่าวว่านอกจากเงินสินสอดแล้วมีทองคำ 3 บาท เป็นค่าสินสอดนั้น ตัวเองยืนยันว่าไม่มี

โดยเงินค่าสินสอดนั้นตัวเองและนางกิ่งทอง แม่ยายที่เสียชีวิตได้เอาไปใช้หนี้จนเหลือประมาณ 30,000 บาท ซึ่งฝ่ายเจ้าบ่าวก็รับรู้ ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้แต่อย่างใด และไม่มีการแบ่งเงินสินสอดกันอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ระหว่างทีมข่าวคุยกับนางสาวตุ๊ก เจ้าตัวก็จะให้ทีมข่าวดูโทรศัพท์ข้อความแชตระหว่างตัวเองกับนางสาวกาญจนา เจ้าสาวที่เสียชีวิต ว่ามีรูปภาพเขียนข้อความสีแดงคำว่า “ตาย” มาปรากฏในแชตของตัวเอง แล้วนางสาวตุ๊กก็บอกทีมข่าวอีกว่า ตัวเองไม่รู้เลยว่าข้อความแชตดังกล่าว เกิดขึ้นได้อย่างไร สอบถามว่าที่ผ่านมา คุณตุ๊กได้ละมือหรือฝันว่าเขียนข้อความดังกล่าวหรือไม่ เจ้าตัวก็บอกว่าจำไม่ได้ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเขียนข้อความดังกล่าว และรู้สึกตกใจมากที่มีข้อความดังกล่าวอยู่ในโทรศัพท์

ลางบอกเหตุวิวาห์เลือด 5 ศพ ธูปยกขันหมาก 9 ดอก เหลือไม่ไหม้ 1 ดอก

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านของเจ้าบ่าวโดยคุณตาซึ่งเป็นญาติของเจ้าบ่าว เผยว่า มีลางบอกเหตุ หลังจากขบวนขันหมากมา ทางญาติๆจุดธูปที่ศาลพระภูมิหน้าบ้าน 9 ดอก พบว่าธูป 1 ดอกไม่ไหม้ แต่ทุกคนก็ไม่เอะใจ

“ตลอดทั้งวัน เจ้าบ่าวมีสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีความสุข ซึ่งปกติคนแต่งงาน น่าจะมีความสุข จนกระทั่งมาเกิดเหตุร้ายขึ้น”

คนสนิทเผยเจ้าบ่าวมีนิสัยเปลี่ยนไปก่อนวันแต่งงาน ดูสีหน้าเครียด ไม่ทักทายเพื่อนร่วมงาน

ทีมข่าวช่อง 8 ได้มาพูดคุยกับนางสาวน้อย (นามสมมติ) เพื่อนร่วมงานคนสนิทของนายจาตุรงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ นายจาตุรงค์เขาเป็นคนนิสัยดี ร่าเริง ยิ้มแย้ม เขาจะชอบทักทายตัวเอง โดยเรียกตัวเองว่า “แม่” และชอบทักทายตัวเองว่า “อม่ทานข้าวยังครับ แม่สวัสดีครับ” อยู่เสมอ

แต่พอช่วงใกล้ถึงวันแต่งงาน นายจาตุรงค์ ได้มาที่แคมป์นักกีฬา เป็นครั้งสุดท้าย และได้เดินสวนทางกับตัวเอง แต่เขากลับเดินก้มหน้า ไม่ทัดทายตัวเอง ทั้งมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ตัวเองยังคิดในใจอยู่เลยว่า ทำไมนายแจ๊ค เขาเปลี่ยนไป เพราะปกติเขาจะทักทายตัวอองเสมอ จึงเชื่อว่า จาตุรงค์น่าจพมีความเครียดอก็บไว้ในใจ ก่อนจะไปก่อเหตุดังกล่าว

ส่วนนางสาวกาญจนา เจ้าสาวนั้น ตัวเองเคยเจอเขามานั่งรอนายจาตุรงค์ ที่ด้านหน้าสนามกีฬาอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยพูดคุยกับฝ่ายหญิง

ญาติฝั่งเจ้าบ่าว เผยปมก่อเหตุ น่าจะมาจากฝ่ายชายถูกหลอกให้แต่งงาน

ด้านนายสว่าง ญาติของนายจาตุรงค์ เจ้าบ่าว ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ในวันที่แต่งงานระหว่างนายจาตุรงค์ และนางสาวกาญจนานั้น ตัวเองก็เป็นคนนำขวนแห่ขันหมากฝั่งเจ้าบ่าว ซึ่งมีสินสอดเงินสด 100,000 บาท ทองคำ 3 บาท

ตอนเข้าพิธีแต่งงานนั้น ตัวเองก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมนายจาตุรงค์เจ้าบ่าว ถึงมีสีหน้าที่เครียด เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจตลอด ไม่มีความสุขเหมือนเจ้าบ่าวทั่วไป

ส่วนปมที่ก่อเหตุนั้น คาดว่าน่าจะมาจากหลายสาเหตุ สาเหตุแรกคือ เจ้าบ่าวน่าจะเพิ่งทราบว่า ฝั่งเจ้าสาวมีลูกติดมาแล้วถึงสองคน จึงรับไม่ได้คล้ายกับถูกหลอกให้แต่งงาน และมีปากเสียงทะเลาะกันแต่ถ้ามีการก่อเหตุ

สาเหตุที่ 2 ตัวเองได้ยินมาว่า ฝั่งเจ้าบ่าว เป็นคนหาเงินค่าสินสอดทั้งหมด โดยเอาเงินเก็บจากการแข่งขันกีฬา และการทำงานมาทั้งชีวิต เพื่อมาแต่งกับฝ่ายหญิง และเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการจัดงานทั้งหมด แต่พอจัดงานเสร็จ ฝ่ายเจ้าบ่าวได้มีปากเสียงกับฝ่ายหญิงเรื่องที่ ขอเงินบางส่วนจากฝ่ายหญิง เพื่อมาให้แม่ฝ่ายชาย เป็นค่ารถเดินทางกลับบ้าน แต่ฝ่ายหญิงไม่ให้ จึงมีปากเสียงทะเลาะกัน และก่อเหตุดังกล่าว เพราะถ้าหลานชายไม่คับแค้นใจจริงๆ เขาคงไม่ก่อเหตุถึงขนาดนี้

หลานสาวของเจ้าบ่าว เผยปมก่อเหตุมาจากเจ้าบ่าวคิดว่าถูกเจ้าสาวหลอกให้แต่งงานจึงก่อเหตุฆ่ายกครัว

ด้านนางสาวทิพย์ (นามสมมติ) หลานสาวของนายจาตุรงค์ บอกกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า เหตุที่เกิดขึ้น ตัวเองเชื่อว่า ที่นายจาตุรงค์ เขาก่อเหตุยิงครอบครัวเจ้าสาวยกครัว เนื่องจากเชาแค้นที่ถูกฝ่ายหญิงหลอกให้แต่งงาน แล้วมาบอกเลิกเขาหลังแต่งงาน เพราะมีข้อมูลมาว่า ฝ่ายหญิงได้พูดกับเพื่อนว่า “แต่งเสร็จก็จะเลิกเลย” จึงเป็นเหตุให้จาตุรงค์ก่อเหตุ เพราะก่อนหน้านี้ จาตุรงค์เคยผืดหวังเรื่องรวามรัก คบกับสาวพยาบาลได้ 3 ปี มีการซื้อรถให้สาวพยาบาล แต่สุดท้ายถูกสาวพยาบาลบอกเลิก เขาจึงไม่อยากโดนกระทำเหมือนในอดีต

และมีเรื่องที่มีผู้ชาย(สามีเก่า) เข้ามาหาเจ้าสาวในงาน จึงเป็นเหตุให้นายจาตุรงค์หึงหวง และทะเลาะกัน กระทั่งก่อเหตุดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องเงินสินสอด เนื่องจากเงินดังกล่าว นายจตุรงค์ก็เป็นค้นหามาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินสด 100,000 บาท ทองคำ 3 บาท และค่าจัดงาน คาดว่าหลังจากแต่งงานอาจมีการเคลียร์เรื่องเงินส่วนนี้หรือไม่ จึงเกิดปัญหากันเกิดชึ้น

อดีตสามีเจ้าสาวยันไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้เจ้าบ่าวหึงหวง คุยเฉพาะเรื่องลูกเท่านั้น

ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาพูดคุยกับนายตาม อดีตสามี ของนางสาวกาญจนา (เจ้าสาว) นายตาม เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตัวเองไม่ได้กลับมาสนิทสนมหรือคบหากับนางสาวกาญจนา ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

ที่มีข่าวว่าในวันแต่งงาน สามีเก่าของเจ้าสาว สนิทกับเจ้าสาวจนทำให้เจ้าบ่าวหึงหวงและมาก่อเหตุนั้น ตัวเองก็ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งในวันที่มีงานแต่งงานตัวเองก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่อย่างใด

ตัวเองเลิกรากับนางสาวกาญจนาตั้งแต่ปี 2557 จากนั้นตัวเองก็ไปมีภรรยาใหม่ ที่ผ่านมาก็พูดคุยกับกาญจนาเฉพาะเรื่องลูกที่มีด้วยกันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเทอม ค่าเรียนหนังสือ ของลูกที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

ส่วนเรื่องส่วนตัวนั้นกาญจนาไม่เคยมาเล่าให้ตัวเองฟัง และตัวเองก็ไม่รู้เลยว่าเขาคบหากับนายจตุรงค์ กระทั่งมาทราบว่าอดีตภรรยาถูกเสียชีวิตจึงขอชี้แจงว่าตัวเอง ไม่ได้เป็นต้นเหตุในการก่อเหตุครั้งนี้

เปิดวงจรปิดกาญจนา ทักทายเพื่อนที่ร้านเสริมสวย ก่อนมางานแต่งงาน

ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้วงจรปิดมาเพิ่มเติมกล้องวงจรปิดคลิปที่หนึ่งความยาว 8 วินาที จับภาพนางสาวกาญจนา (เจ้าสาว) ทำการบอกกับเพื่อนให้ไปงานแต่งงานพร้อมกับมีการจับมือกัน

คลิปที่สอง ความยาว 16 วินาที พบว่าวินาทีที่ 00.10 นางสาวกาญจนา สวมเสื้อขาวกางเกงชมพูได้เดินไปทักทายเพื่อน พร้อมพูดว่า “กลับแล้วน้า” ก่อนที่กาญจนาจะเดินออกจากร้านเสริมสวยไป