เมื่อวันที่ 25 พ.ย.66 เป็นช่วงที่ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา ได้กล่าวถึงแป้ง นาโหนดระหว่างร่วมงานที่สมาคมชาวปักษ์ใต้ ใจความระบุว่าให้มอบตัว โดยในคลิปมี พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ อดีต ผบ.ตร.ร่วมอยู่ด้วย
โดยนายชวนระบุว่า “ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมพยายามประสานกับพี่น้องที่พัทลุงที่พอจะรู้จักแป้ง นาโหนด ว่าให้ช่วยบอกญาติ ๆ ให้มอบตัว ผมเป็นห่วงเพราะว่าข้อมูลที่แกเปิดเผยมันอาจจะทำให้ไปถึงคนบางคน เกี่ยวข้องไปทำอะไรที่เป็นวิสามัญฆาตกรรม อันนี้เป็นเรื่อง ก็ถือโอกาสนี้บอก คนที่จะสามารถทำได้สำเร็จผมบอกท่านสุนทร ผมบอกท่านไว้น่าจะมั่นใจได้ว่าถ้าท่านรับรอง ให้ท่านสุนทร ซ้ายขวัญรับรองถ้าแป้งนาโหนดมอบตัวผมคิดว่ามันจะเป็นผลประโยชน์ กับทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องเหนื่อยที่ต้องเฝ้าอยู่ที่ในนั้น
ที่นั่นก็เป็นเขตต้นน้ำ พี่น้องอาจจะไม่รู้จัก ตอนผมขึ้นมาเป็นผู้แทน ผมได้ไปเยี่ยมชาวบ้านแถวนั้น ในนั้นเป็นต้นน้ำของเราพี่น้อง ต้นน้ำพัทลุง ต้นน้ำสตูล ต้นน้ำตรัง เเละบริเวณนั้น ผกค.ใช้เป็นที่ซ่อนตัว เพราะขึ้นไปยาก ผมไปเดิน ผมบอกตรง ๆ เลยว่า สมัยนั้นอยู่ได้ไม่กี่บ้าน นกที่เราหาไม่ได้ที่อื่น อยู่เเถวนั้นเพราะมันเป็นที่ที่ขึ้นไปยากเจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าขึ้น แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดผมถือว่าแป้ง นาโหนด จะเป็นใครก็ตามแต่ว่าถ้าได้มอบตัว มันจะเป็นประโยชน์ ความจริงจะได้ปรากฎว่าใครที่ทำอะไรผิดต่อหลักของบ้านของเมืองก็ต้องรับผิดชอบไป”
ต้นตอความแค้น เหตุแป้งแหกการคุมตัวของราชทัณฑ์ เริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจับชายคนหนึ่งชื่อนายอัตชัย หลังจากนั้นนายอัตชัยขยายผลไปถึงนายต้น พม่า ต่อมานายต้นซัดทอดไปถึงนายจรวด ตอนโดนจับกุมนายจรวดโทรศัพท์แจ้งพ่อ ทำให้พ่อนายจรวดประสานไปยังอัยการบอย อันการบอยใช้โทรศัพท์ของประธานติ่งโทรหาแป้ง เพื่อให้ช่วยนายจรวด จากนั้นนายแป้งจึงนำพวกจะไปช่วยนายจรวดเพราะเข้าใจว่าโดนอุ้มเรื่องเก็บส่วยค่ายา โดยไม่ทราบมาก่อนว่า นายจรวดโดนตำรวจจับกุมอยู่แล้ว เมื่อแป้งไปถึงจะชิงตัว จึงเกิดการปะทะกันเกิดขึ้นโดยนายจรวดเป็นคนยิงเปิดฉาก แต่กลับเป็นนายแป้งโดนจับ
ขณะเดียวกันวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่บ้านของนายจรวดอีกครั้ง แต่พบว่าเจ้าตัวไม่อยู่บ้าน ทีมข่าวพบเพียงแต่ญาติๆ ที่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันเท่านั้น
โดยญาติของจรวด บอกกับทีมข่าวว่า จรวดนั้นไม่เคยคิดจะหักหลังเสี่ยแป้ง และเป็นไปตามข่าวที่บอกว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 62 มีชายฉกรรจ์ 8 คน บุกมาหาจรวดที่บ้าน โดยขอตรวจสอบใบอนุญาตพกปืน ต่อมา ชายฉกรรจ์ได้นำตัวจรวดขึ้นรถ จรวดก็ขึ้นรถไปด้วยปกติ คิดว่าไม่มีอะไร
ก่อนจะถูกชายฉกรรจ์เอาปืนจี้ และบังคับให้จรวดโทรศัพท์หาพ่อ พร้อมกับ บอกว่าให้เอาเงินมา 1.5 ล้าน แลกกับการปล่อยตัว อ้างว่า จรวด ค้างค่ายาเสพติดไว้
ต่อมา พ่อของจรวด จึงได้โทรศัพท์หาอัยการบอย ให้หาทางช่วยเหลือ ซึ่งขณะนั้น พ่อของจรวดเห็นภาพจากวงจรปิดหน้าบ้าน ว่า มีชายฉกรรจ์เอาตัวจรวดขึ้นรถไป แต่ไม่รู้ว่า เป็น โจร หรือ ตำรวจ
ต่อมา อัยการบอย ได้โทรศัพท์หาตำรวจที่รู้จัก แต่จรวด ไม่รู้ว่า โทรหาใครบ้าง เพื่อจะสอบถามว่า ตำรวจชุดไหนอุ้มตัวจรวดไปไหม กระทั่งต่อมา มีคนมาช่วยจรวดที่ถูกอุ้มไป แต่ตอนนั้น จรวดจำไม่ได้ว่า เป็นใครบ้างที่มาช่วย เพราะทุกคนปิดหน้าหมด โดยบอกให้จรวดลงจากรถ และบอกกับพวกที่จับจรวดไปว่า เป็นตำรวจ โดยจรวดมารู้ภายหลังว่า คนที่มาช่วยไม่ใช่ตำรวจ แต่คือ เสี่ยแป้ง ซึ่ง เสี่ยแป้ง ได้พาจรวดมาส่งที่บ้าน อัยการบอย หลังจากชิงตัวได้มา
ต่อมาจรวดจึงเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจที่โรงพักว่า ถูกชายฉกรรจน์อุ้มตัว แต่ปรากฎว่า จรวดกลับถูกตั้งข้อหา “พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่”
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยแป้ง ยืนยัน จรวดไม่ได้รู้จักสนิทสนทกับเสี่ยแป้ง เพียงรู้จักกันผิวเพิน ยืนยัน จรวดไม่ได้หักหลังเสี่ยแป้ง แต่ยอมรับว่า จรวดเป็นต้นเหตุของเรื่อง ซึ่งจรวดได้ฝากขอโทษเสี่ยแป้งไปแล้ว และเรื่องนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อยากขอบคุณที่เสี่ยแป้ง บุกไปช่วยจรวดในวันนั้น
ส่วนระหว่างจรวดถูกอุ้ม ใครเป็นคนโทรให้เสี่ยแป้งมาช่วยจรวด จรวดไม่รู้ และจรวดให้ข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว จรวดขอไม่พูดถึงอีก
พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณีความคืบหน้าที่นายชวลิต ด้วงทอง หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด นักโทษคดีอุกฉกรรจ์หลบหนีออกจากโรงพยาบาลขณะทำการรักษาตัว ว่า ตอนนี้รู้วัน เวลาที่ นช.แป้งลงเทือกเขาบรรทัดแล้ว รวมไปทั้งบุคคลที่พา นช.แป้งลงเขาเช่นเดียวกัน โดยเบื้องต้นยืนยันว่า นช.แป้ง ยังอยู่ในประเทศ จะมีลวดหนามซึ่งดูคล้ายว่าอยู่ตามตะเข็บชายแดน ซึ่งต้องตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ใด รวมทั้งบ้านที่ปรากฏอยู่ในคลิป
ส่วนเรื่องที่ นช.แป้ง ได้มีการออกมาแฉถึงบุคคลต่างๆ รวมไปทั้งที่มีรายชื่อตำรวจหลายนายเข้าไปพัวพันกับคดีเก่า ตนได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ถ้าหากพบว่ามีมูลความผิดก็จะมีการสั่งลงโทษทางวินัย และอาญา
ส่วนที่มีกระแสข่าวออกมาว่า นช.แป้ง ติดต่อขอมอบตัวนั้น ไม่เป็นความจริง มีเพียงแต่ญาติของทาง นช.แป้งเท่านั้น แต่ถ้า นช.แป้ง ติดต่อขอมอบตัวด้วยตนเอง ตนในฐานะ ผบ.ตร. จะยืนยันความปลอดภัยให้ และจะไม่มีการวิสามัญแต่อย่างใด แต่ถ้าหากมีการเข้าจับกุมและมีการต่อสู้กัน ตำรวจจะมีการใช้ดุลยพินิจ
ส่วนกระแสข่าวที่ปรากฏในโลกออนไลน์ มีการตำหนิการทำงานของตำรวจ และให้กำลังใจ นช.แป้ง ยืนยันว่าเป็นกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นเพียงคนส่วนน้อย เพราะคนในประเทศไม่ได้มีแค่ในโลกออนไลน์ และตำรวจทำตามหน้าที่ ไม่ได้ทำตามเสียงในโลกออนไลน์ รวมทั้งที่มีนักการเมืองที่ออกมาตำหนิการทำงานของตำรวจ ผบ.ตร. มองว่า กลุ่มคนเหล่านั้นไม่เคยเข้ามาอยู่ในพื้นที่ และไม่ทราบการทำงานของตำรวจ อีกทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันและสิ่งแวดล้อมเป็นอุปสรรคในการทำงานอย่างมาก
ส่วนการข่าวที่ทำให้ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ เป็นเพราะประชนในพื้นที่ ไม่เชื่อมั่นกับการทำงานของตำรวจ ซึ่งเรื่องนี้ ตนก็มีนโยบายที่จะปรับทัศนคติตำรวจชุดปฏิบัติงาน และตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจ และมีความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ ซึ่งเรื่องนี้ตนทราบปัญหาดี แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้มีปัญหากับชาวบ้าน และไม่ได้มีความบกพร่องในการทำงานแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้ฝากไปถึง นช.แป้งว่า การหลบหนีแบบนี้ จะทำให้ต้องหนีไปตลอดชีวิต ดังนั้นควรจะติดต่อเข้ามอบตัว แต่ถ้าหากไม่รับความเป็นธรรมก็ให้แจ้งมาได้ทันที
วันนี้ทีมข่าวได้วิดีโอคอลพูดคุยกับ พ.ต.ท.วีระศักดิ์ คงเพชร อดีด ผบ.ร้อย ตชด.434 พัทลุง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ ที่ตำรวจชุดจับกุมนายจรวด เมื่อ 2 ก.ค.62 ติดต่อขอกำลังเสริม หลังถูกกลุ่ม เสี่ยแป้ง นาโหนด และพวกกว่า 20 คน วางแผนปล้นชิงตัวประกัน
พ.ต.ท.วีระศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า วันที่เสี่ยแป้ง พร้อมพวกกว่า 20 คน บุกเข้ามาชิงตัวนายจรวด หรือ นายสิทธิเดช ทรงเดชะ นั้น สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการจับกุม นายอัตชัย เครือข่ายยาเสพติดได้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนมีการขยายผล โดยได้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือของนายอัตชัย ว่า หัวหน้าใหญ่เจ้าของยาเสพติด คือ นายต้น ฉายา “ต้น พม่า” ซึ่งข้อมูลแชตการสนทนาระหว่างนายอัตชัย กับ นายต้น นั้น มีการระบุชื่อและข้อมูลผู้รับยาเสพติด โดยมีของ “บอย” เป็นคนรับยาบ้าไป
จากข้อมูลแชต คือ นายต้น เจ้าของยาบ้า มีการซื้อขายยาบ้ากับนายบอย โดยนำยาบ้าไปให้จำนวน 17 เป้ รวม 850 มัด (ยาบ้ามัดละ 1 แสนเม็ด) คิดยาบ้ามัดละ 15,600 บาท รวมเป็นเงิน 13,260,000 บาท ในบิลระบุ มีการจ่ายเงินไปแล้ว 2.9 ล้าน ค้างจ่ายอยู่อีก 10,360,000 บาท โดยนายต้น ได้ใช้ให้นายอัตชัย มีหน้าที่ไปทวงเงินค่ายาบ้าในส่วนที่เหลือ
จากนั้นเมื่อจับกุมนายอัตชัยได้ ตำรวจจึงได้ติดต่อไปถึงนายต้น เจ้าของยาบ้าตัวจริง เพื่อขยายผลจับกุมต่อ ซึ่งทีมข่าวยังได้คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง นายต้น กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย โดยในคลิปเสียง นายต้นได้ให้เบาะแสว่า นายบอย ที่นำยาบ้าไปนั้น แท้จริง คือ นายสิทธิเดช หรือ จรวด โดยนำยาบ้าไปทั้งหมด 850 มัด
ต่อมาเมื่อตำรวจได้ข้อมูลจากนายอัตชัย และนายต้น เจ้าของยาบ้าแล้ว จึงได้ทำการขยายผลไปจับกุม นายบอย ที่บ้านพักที่ จ.พัทลุง โดยนำตัวนายอัตชัย ขึ้นรถไปด้วย เพื่อชี้พิกัดบ้าน จากนั้นเมื่อไปถึงบ้านนายบอย เจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวเข้าจับกุม และมารู้ว่า นายบอยนั้น จริงๆแล้ว คือ ชื่อจริงคือ นายสิทธิเดช หรือ จรวด โดยมีการถ่ายภาพ และบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน
ซึ่งคลิปเสียงอีกคลิปจะได้ยินตำรวจคุยกับนายจรวด ให้ขยายผลนำยาบ้า ที่เอาไป เอามาส่งคืน โดยนัดให้นำยาบ้าที่เหลือมาวางไว้ มีการพูดคุยยาบ้าจำนวน 5 เป้ จำนวน 300 มัด และในคลิปเสียง นายจรวด ได้มีการต่อรอง ว่า หากทำตามจะขอไม่ถูกจับ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายจรวด และ นายอัตชัย นำไปขยายผล โดยให้นายจรวด โทรศัพท์ติดต่อไปยังเครือข่ายที่ได้นำยาเสพติดไปฝากไว้นำมาส่งคืน เพื่อแลกกับการปล่อยตัว และไม่โดนดำเนินคดี
ต่อมา นายจรวด จึงได้โทรศัพท์ไปยังบุคคลรายหนึ่งที่อ้างว่า เป็นลูกพี่ ทราบภายหลังว่า คือ “อัยการบอย” เพื่อให้ลูกน้องนำของกลางที่เป็นยาเสพติดคงเหลือมาให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างว่า เจ้าของยาบ้า เขามาทวงยาบ้าคืน เพราะจ่ายเงินไม่ครบ ขณะนั้นตำรวจมีการถ่ายคลิปมือถือ และบันทึกการสนทนาไว้ทั้งหมด และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ยังได้โทรศัพท์หาตนเองว่า หากยาบ้ามาถึงแล้ว จะขอกำลังเสริมจากตนเองบุกเข้ารวบตัวเครือข่ายที่นำยาบ้ามาส่งทันที ตนเองก็เตรียมตัวรอ
กระทั่งผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง นายจรวด พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้มีการนัดหมายกันในพื้นที่ ต.นาขยาด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุในตอนนั้น
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ปรากฏว่า ได้มีรถปริศนา รถตู้ จำนวน 1 คัน และรถกระบะสีดำอีก 2 คัน ได้ขับรถมาประกบหน้า-หลังรถของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม
จากนั้นได้มีชายฉกรรจ์ เกือบ 20 คน ทุกคนใส่หมวกไอ้โม่งถืออาวุธปืนลงจากรถ และแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกให้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหยุด อย่าขยับ พร้อมกับอ้างว่า เป็นตำรวจจับยาเสพติด ทำให้ตอนนั้น ตำรวจชุดจับกุม ตกใจและงงมากกว่า เป็นตำรวจชุดไหน และแสดงตัวเป็นตำรวจเช่นกัน
ก่อนที่ตอนนั้น มีชายคนหนึ่ง ภายหลังทราบว่า คือเสี่ยแป้ง หัวหน้าที่บุกมาชิงตัวประกัน ถามตำรวจว่า “อ้าว เป็นตำรวจจริงๆหรอ ไหนเอาบัตรตำรวจมาดู” เจ้าหน้าชุดจับกุมจึงแสดงบัตรให้ดู เสี่ยแป้งตอนนั้น จึงได้พูดกลางวงที่ชิงตัวประกัน โดยต่อว่า นายจรวดว่า “ไหนลูกพี่มึง บอกว่า เป็นโจรมาชิงตัวมึงไป อัยการบอกว่า โจรจับมึงไปไอจรวด ถ้ากูรู้ว่าเป็นตำรวจกูไม่มาหรอก ทำไมหลอกกูแบบนี้ “
ตอนนั้น จรวดซึ่งหนีลงจากรถเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแล้ว ได้เข้ามาอยู่ฝั่งพวกเสี่ยแป้งที่มาช่วย โดยมีพวก ประธานติ่ง จ่าติ๊ก
ระหว่างนั้น จรวด ที่ได้เข้าไปแย่งปืนเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม และจะยิงตำรวจชุดจับกุม แต่ถูกเสี่ยแป้ง ได้ห้ามไว้ โดยเจ้าหน้าที่ได้ยินเสี่ยแป้ง บอกกับจรวดว่า “มึงอย่ายิงตำรวจ ถ้ามึงยิง มึงมีเรื่องกับกูแน่ เขาเป็นตำรวจจริง“ แต่ตอนนั้น จรวด ไม่ฟัง และได้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ 1 คนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขา โดยเสี่ยแป้ง ไม่ใช่คนยิง ก่อนที่ เสี่ยแป้ง และพวก จะหลบหนีไป ส่วน จรวด และอัตชัย ก็ได้ขึ้นรถพวกเสี่ยแป้งไปอีกคัน โดยก่อนจะหลบหนี จรวด ได้นำโทรศัพท์มือถือของตัวเอง และมือถือที่ตำรวจบันทึกการจับกุมเอาไปด้วยทั้งหมด
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่บ้านของประธานติ่ง หนึ่งในบุคคลที่ “แป้ง นาโหนด” อัดคลิปร้องขอความเป็นธรรมเนื่องจากถูก ประธานติ่ง และพวกหักหลัง ซึ่งจากข้อมูลที่ แป้ง นาโหนด ออกมาแฉ ประธานติ่งยังเป็นคนสนิทของอัยการบอย ที่เป็นหนึ่งในผู้วางแผนปล้นตัวประกัน และขอร้องให้ตัวแป้ง เดินทางไปชิงตัว นายจรวด ลูกน้องของอัยการบอย โดยหลอกว่า นายจรวด ถูกโจรมาอุ้มตัวไป เมื่อ 2 กรกฎาคม ปี 62 ด้วย ทำให้แป้ง ถูกจับติดคุก แต่คนอื่นรอดหมด
เมื่อทีมข่าวไปถึงบ้านพบว่า บ้านประธานติ่งถูกปิดเงียบ ล็อคกุญแจประตูหน้าบ้าน ทีมข่าวได้สอบถามญาติของประธานติ่ง ให้ข้อมูลว่า หลังจากที่เสี่ยแป้งได้ปรากฏตัวอัดคลิป และพูดถึงประธานติ่ง เมื่อ 2-3 วันก่อน ประธานติ่งก็หายออกจากบ้านไปทันที ไม่รู้ว่า ไปอยู่ที่ไหน และ จนถึงตอนนี้ตนเองก็ไม่เห็นประธานติ่งกลับมาบ้านอีกเลย คาดว่าน่าจะกลัวเพราะไม่ปลอดภัย
ส่วนนิสัยใจคอประธานติ่ง เป็นคนนิสัยดี พรรคพวกเยอะ คนรู้จักมาก และยังเคยเป็นประธานสภาเทศบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.พัทลุงด้วย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างประธานติ่ง กับ เสี่ยแป้ง นาโหนด ตนเองไม่ทราบ เพราะไม่เคยเสี่ยแป้ง เดินทางมาที่บ้านของประธานติ่งเลยด้วยซ้ำ และเพิ่งเคยเห็นหน้าจากข่าว
ล่าสุดทีมข่าวพยายามโทรหาจ่าติ๊ก คนที่แป้งพูดถึงในคลิป แต่ไม่สามาถติดต่อได้ จึงประสานไปยังหัวหน้าสถานี ยืนยันมาว่าจ่าติ๊กขอลาพักผ่อน ภายหลังจากที่มีคลิปพูดถึง จ่าติ๊กเกิดความเครียด ไม่พูดกับใคร และตอนนี้ลาพักร้อน