อัยการสูงสุด นัดสั่งฟ้อง 22ธ.ค. กลุ่มตร.อุ้ม"จ."คดีเดียวกับ"เสี่ยแป้ง"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริตภาค 9 นัดส่งฟ้องผู้ต้องหาประกอบด้วย ยศ “พ.ต.ต.” 1 นาย “ร.ต.อ.” 3 นาย “ด.ต.” 2 นาย “ส.ต.ต.” 1 นาย และนายเอ (นามสมมุติ) เป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจ หรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นโดยมีหรือใช้ อาวุธปืนหรือโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเพื่อให้ได้มา ซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ โดยแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นตำรวจ หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป, ร่วมกันกรรโชกทรัพย์โดยขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจได้รับอันตรายสาหัสและโดยมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเกท 5 (พืชกระท่อม) โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
สั่งฟ้อง “ร.ต.อ” ผู้ต้องหาที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางตื่น โดยมีอาวุธโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม
และสั่งไม่ฟ้อง “พ.ต.ต.”, “ร.ต.อ.” ผู้ต้องหาที่ 1 และ 3 รวมถึง “ด.ต.” 2 นาย “ส.ต.ต.” 1 นาย “ร.ต.อ.” 1 นาย และนายเอ ผู้ต้องหาที่ 4-8 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม โดยมีและใช้อาวุธปืนและร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (พืชกระท่อม) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
จากกรณีจำเลยซึ่งเป็นหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกับพวกซึ่งเป็นพลเรือน 1 คน รวมทั้งหมดจำนวน 8 คน ใช้รถยนต์กระบะ 1 คัน และรถยนต์เก๋งอีก 1 คัน ขับมาจอดหน้าบ้านเลขที่ 94 หมู่ 2 ต.ลำปำ อ.เมือง จ.พัทลุง ก่อนที่จะเดินอย่างใจเย็นลงไปจับตัว นาย จ. ลูกชายเจ้าของบ้านขึ้นรถยนต์เก๋งพาตัวหายไป และหลังจากนั้นไม่นาน นาย จ. ก็ได้ติดต่อทางโทรศัพท์กลับมาหาญาติที่บ้าน โดยบอกว่าให้นำเงินสด จำนวน 1.5 ล้านบาท ไปให้แก่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่มาหาที่บ้านก่อนหน้านี้ ซึ่งได้อ้างตัวภายหลังว่าเป็นตำรวจสังกัดชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 โดยจำนวนเงินดังกล่าวต้องแลกกับความปลอดภัย และการปล่อยตัว
ซึ่งต่อมาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ
และต่อมาอัยการสูงสุดชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1, 3 และที่ 4-8 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม โดยมีและใช้อาวุธปืนและร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (พืชกระท่อม) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย
ตามความเห็นพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 9 และสั่งยุติการดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้ง 8 ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเกท 5 (พืชกระท่อม) โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น
ส่วนข้อหาอื่นชี้ขาดฟ้องตามความเห็นของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 9
ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างเรียกตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 มา เพื่อฟ้องศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ในวันที่ 22 ธ.ค. นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสำนวนดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่ศาลพิพากษาจำคุก 20 ปี 6 เดือน นายเชาวลิต หรือเสี่ยแป้ง ในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง นายเชาวลิต ในความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์ฯ, ข่มขืนใจผู้อื่นฯ, มีอาวุธฯ, พาอาวุธไปที่สาธารณะฯ ในคดีชิงตัวนาย จ. ผู้ต้องหา อัยการได้มีการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 2-6 (อัยการเป็นผู้ต้องหาที่ 2) สั่งฟ้องเพียงนายเชาวลิต หรือเสี่ยแป้ง และนาย จ.