“คนเจ็บ” เผยวินาทีรถพุ่งชน ก่อนลืมตาขึ้นมาเห็นกิ่งไม้อยู่ติดขา และเห็นร่างผู้เสียชีวิตรายล้อม รถขับขี่ด้วยความเร็วปกติ ก่อนเกิดเหตุไม่ได้ยินเสียงเบรก
กรณีเมื่อเวลา 00.16 น. ของวันที่ 5 ธ.ค. รถโดยสารประจำทาง สาย 9914 กทม.-นาทวี รถหมายเลขทะเบียน 14-3301 กรุงเทพมหานคร ชนต้นไม้ข้างทาง เหตุเกิดบริเวณหน้าทางเข้าหาดวนกร กม.331+450 อ.ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ (ขาล่อง) ทำให้มีผู้เสียชีวิตและ มีผู้บาดเจ็บ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ทีมข่าวช่อง8 ยังได้พูดคุยกับ นายเชียง อายุ 50ปี ชายชาวเมียนมา ซึ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์อุบัติเหตุหมู่ โดยวันเกิดเหตุนั้น เจ้าตัวเดินทางไปพร้อมกับน้องสาว คือ นางสาวเอย อายุ38 ปี ซึ่งมีการขึ้นรถกลางทางบริเวณจุดจังหวัดเพชรบุรี เพื่อที่จะไปปลายทางอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา , โดยช่วงที่เจ้าตัวได้พูดคุยกับทีมข่าวนั้น ยังคงสังเกตเห็นแผล ที่มีผ้าก๊อซ อยู่ที่เข่าและขาฝั่งซ้าย และเจ้าตัวยังคงเดินลักษณะขากะเผลก และมีร่องรอย-ข่วนตามตัว
นายเชียง ผู้ได้รับบาดเจ็บ เผยว่า เหตุการณ์ในคืนนั้น หลังจากที่ตนเองขึ้นรถระหว่างทางที่จังหวัดเพชรบุรีพร้อมกับน้องสาว หลังจากที่ขึ้นรถมาได้ไม่นาน รถได้มีการจอดแวะพักที่จุดพักรถ เพื่อที่จะให้ผู้โดยสารทั้งหมดและกินข้าว โดยหลังจากกินข้าวเสร็จก็ได้มีการประกาศขึ้นรถ และรถก็ขับออกไปตามปกติ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของคนขับ และไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของรถ เนื่องจากมีการขับไปตามทาง และไม่ได้มีการใช้ความเร็วมากนัก วิ่งตามปกติ จนกระทั่งหลังจากที่รถออกจากจุดพักรถได้ระยะหนึ่งแล้ว ผู้โดยสารทั้งหมดส่วนใหญ่ก็พักผ่อนและนอนกันเกือบทั้งหมด จนกระทั่งมาถึงที่เกิดเหตุ ไม่ได้ยินเสียงเบรคหรือ ไม่มีลักษณะรถซ่ายไปมา ตนเองลืมตาขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงโครม พร้อมกับ มีกิ่งไม้อยู่ติดกับขาตนเอง ซึ่งตอนนั้นตนเองนั่งอยู่ในเบาะลำดับที่ 31 และ 32 โดยน้องสาวนั่งอยู่ 31 ตนเองนั่งอยู่ 32 แล้วตัวลอยออกจากเบาะ ลอยไปเกือบ 2 เมตร ไปติดอยู่กับด้านหน้า
จากนั้นตนเองหันซ้ายมองขวาขวา ก็พบว่ามีทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บเจ็บ และบางคนก็เสียชีวิตคาเบาะ ซึ่งก็เป็นภาพจำที่ยังติดอยู่ในหัวอยู่ตอนนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่ตนเองรอดก็มีความเชื่อว่าอาจเป็นเพราะยันต์ที่ข้อมือซ้าย ที่ก่อนหน้านี้ไปรับจากพระอาจารย์ จากวัดแม่ชีธงลง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่เป็นพระอาจารย์ที่ตนเองนับถือมีการผูกข้อมือให้ไว้ , และแม้ว่าตนเองจะรอดชีวิตวันนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าสลดใจกับผู้โดยสารคนอื่นที่เสียชีวิต และที่สำคัญตนเองในฐานะที่ไม่ใช่คนไทย แต่เป็นชาวเมียนมาร์ ก็อยากจะได้รับการช่วยเหลือ และรวมถึงการเยียวยาจากบริษัทรถ
อบต.ห้วยยาง เคลียร์พื้นที่เกิดเหตุเพื่อลบภาพจำของญาติผู้เสียชีวิตและคนเจ็บ เวลาขับผ่าน
และเมื่อเวลา 15:00 น. ที่ผ่านมา ทีมข่าวเดินทางไปบริเวณจุดที่เกิดเหตุ ซึ่งพบว่าทางด้านของเทศบาลตำบลห้วยห้วยยาง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้นำเจ้าหน้าที่จากเทศบาลลงพื้นที่มายังจุดเกิดเหตุ เพื่อที่จะเคลียร์เศษซากของรถประจำทาง และร่องรอยของความเสียหายโดยเฉพาะกิ่งไม้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการจุดธูปบอกกล่าวบริเวณใต้ต้นพะยอม เพื่อบอกกล่าวกับเจ้าที่เจ้าทางและดวงวิญญาณผู้เสับชีวิต ก่อนที่จะมีการเก็บทำความสะอาดและสำรวจทรัพย์สินรอบสุดท้าย เพราะเนื่องจากยังมีทรัพย์สินบางอย่างของคนเจ็บและผู้เสียชีวิตสูญหาย ทางเทศบาลจึงได้มีการเข้ามาสำรวจอีกครั้งอีกครั้งหลังจากที่กองพิสูจน์หลักฐานได้มีการเข้าตรวจสอบแล้ว
โดยจากการเข้ามาเก็บทำความสะอาดครั้งสุดท้ายนั้น ปรากฏว่าเจอพระเครื่อง คือ หลวงพ่อบ้านแหลม และพระอีกองค์สีดำซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นหลวงพ่อหรือพระอะไร พร้อมทั้งมีตะกุดสีเงินติดอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการเก็บไปเพื่อมอบให้กับร้อยเวรเจ้าของคดี และรวมกับทรัพย์สินอื่นที่พบในที่เกิดเหตุ เพื่อที่จะให้ญาติของผู้เสียชีวิตและคนเจ็บมาติดต่อรับคืน
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ พันจ่าเอกฉัตรชัย สวียานนท์ หัวหน้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลห้วยยาง เผยว่า การเข้ามาเก็บทำความสะอาดครั้งนี้ เป็นการเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สินและเคลียร์สถานที่รอบสุดท้าย เพราะเนื่องจาก ไม่อยากให้เป็นภาพจำของญาติผู้เสียชีวิตและคนเจ็บ เวลาที่ขับรถผ่านไป จึงได้เข้ามาเคลียร์พื้นที่เพื่อที่จะให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติให้มากที่สุด และจากการเข้ามาเคลียร์พื้นที่ในวันนี้ก็ได้เจอพระเครื่อง ซึ่งก็ตกหล่นอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงได้มีการเก็บเพื่อที่จะนำไปมอบให้กับพนักงานสอบ ในการตามหาเจ้าของต่อไป
สำหรับเรื่องของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าลงสู่ภาคใต้ โดยเฉพาะบริเวณจุดที่เกิดเหตุจุดนี้ ยอมรับว่าเคยมีอุบัติเหตุซ้ำซ้อนทั้งอุบัติเหตุใหญ่และอุบัติเหตุเล็กหลายครั้ง บางครั้งรถพ่วงก็พุ่งตกลงไปเสียชีวิต 1 ราย -2 ราย และก็มีอุบัติเหตุเล็กน้อยโดยเฉพาะรถกระบะและรถเก๋ง แต่อุบัติเหตุใหญ่ที่เกิดขึ้นคือครั้งนี้คือการสูญเสีย 14 ศพ และมีเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ประมาณ 10 ปี ต้นไม้ต้นเดียวกัน ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 12 ศพ และยังมีร่องรอยที่เป็นเหตุเก่าเป็นเปลือกต้นไม้กระเทาะ ยังทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็นต่างหน้าเอาไว้ , และห่างจากจุดเกิดเหตุบริเวณจุดนี้ออกไปอีกประมาณ1 กิโลเมตร ก็ยังเคยมีอุบัติเหตุหมู่จนกระทั่งทำให้รถของพระพิสุสงฆ์ 6 รูป และฆราวาส1คน รวมทั้งหมดเหตุการณ์ดังกล่าวเสียชีวิต 7 ราย เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วเมื่อหกปีก่อน ซึ่งตัวเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนแบบนี้
แต่โดยภาพรวม ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อเป็นหลุมเป็นบ่อ และยังมีไฟส่องสว่างเป็นบางจุด และที่สำคัญ เรื่องของถนนหนทางก็เป็นอุปสรรคที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ก็เข้าใจว่าอาจเกิดจากตัวบุคคล ที่อาจจะไม่ได้ระมัด หรือมีการขับทางตรง อาจเกิดเหตุเรื่องของการอ่อน หรือการหลับในจนเป็นเหตุทำให้ เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนก็ได้
แม่ของ ‘ศาตนันหน์ เจริญศรี‘ มาเชิญวิญญาณลูกสาวกลับบ้าน
โดยในเวลา 12.00 น. ได้มีญาติของ น.ส.ศาตนันหน์ อายุ 21 ปี ผู้เสียชีวิต ได้เดินทางมาเชิญวิญญาณ ที่จุดเกิดเหตุ โดยมีแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ ได้จุดธูปเชิญวิญญาณ
โดยนางมะลิ ทองสิพพัญญู อายุ 49 ปี แม่ของผู้ตาย เปิดเผยกับทีมข่าวช่องแปดว่า ลูกสาวของตนเดินทางมาจากกรุงเทพกรุงเทพมหานครหลังจากไปรับปริญญาพี่สะใภ้และจะเดินทางกลับมาที่บ้านที่สงขลา
โดยการพูดคุยครั้งสุดท้ายคือช่วงที่ลูกสาวได้เดินทางขึ้นรถแล้วและโทรมาบอกตนว่าขึ้นรถแล้วจากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพิ่ม
โดยตนได้มาทราบว่าลูกสาวตนเสียชีวิตแล้วหลังจากที่ไม่เห็นลูกสาวมาถึงสักทีตนจึงได้โทรกลับไปหาเขาและพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่รับสายและแจ้งว่า รถที่ลูกสาวตนขึ้นมานั้นเกิดอุบัติเหตุชนต้นไม้ข้างทางตนจึงได้โทรมาเช็กว่ามีชื่อลูกสาวตนหรือไม่จนพบว่าลูกสาวตนเสียชีวิตแล้ว
ตนก็รู้สึกเสียใจเพราะลูกสาวคนนี้เป็นลูกสาวคนเล็กตนมีลูกสาวทั้งหมดสามคน ส่วนลูกสาวอีกสองคนที่เดินทางมาด้วยกันก็บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์
ตนได้มีการพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่บ้างแล้วในส่วนของการเยียวยาแต่ว่าหลังจากนี้ก็จะมีการพูดคุยกันอีกรอบ ตอนนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยนึงเพราะทางรมช.คมนาคม ได้ลงมาดูแลด้วยตนเอง
ตนก็อยากจะฝากถึงรถทัวร์เหล่านี้ว่าให้ระมัดระวังในการเดินทางและมีสติมากขึ้น
หลังจากนี้ตนจะนำศพของลูกสาวกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ม.7 ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
โดยหลังจาก ทำพิธีเชิญวิญญาณเสร็จ ทางรมช.คมนาคม ซึ่งอยู่ตรงจุดทำพิธีก็ได้เดินเข้ามากอดกับแม่ของผู้ตาย และยืนยันว่าจะให้การช่วยเหลือเยียวยาอย่างเต็มที่ขอให้ครอบครัวไม่ต้องกังวลใดใด จะไม่ทอดทิ้งญาติผู้เสียชีวิตทุกราย
จากนั้นนางมะลิ จึงได้เดินทางขึ้นรถโดยนั่งไปพร้อมกับร่างของลูกสาวและได้มีการเรียกลูกสาวกลับบ้านและขอให้ลูกสาวไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์