จากกรณีเมื่อเวลา 00.16 น. ของวันที่ 5 ธ.ค. รถโดยสารประจำทาง สาย 9914 กทม.-นาทวี รถหมายเลขทะเบียน 14-3301 กรุงเทพมหานคร ชนต้นไม้ข้างทาง เหตุเกิดบริเวณหน้าทางเข้าหาดวนกร กม.331+450 อ.ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ (ขาล่อง) ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 14 ราย มีผู้บาดเจ็บ จำนวน 32 ราย และไม่บาดเจ็บ จำนวน 3 ราย ที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (6 พ.ย.66) นางพรทิพย์ อาจหาญ อายุ 58ปี แม่ของนางสาวมณฑิรา ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ให้ไปยืนยันอัตลักษณ์บุคคล และยืนยันศพที่เก็บเอาไว้ที่มูลนิธิฯ แต่ทันทีที่แม่เดินทางไปถึงพบว่าร่างที่บรรจุอยู่ในโรงเย็นไม่ใช่ลูกสาวลูกสาว เพราะเนื่องจากใบหน้ามีเอกลักษณ์มีไฝที่แก้มซ้าย จึงทำให้ศพที่ไปยืนยันไม่ใช่ศพของลูกสาว จากนั้นได้มีการตรวจสอบโรงพยาบาลปลายทาง พบว่ามีการส่งต่อจากโรงพยาบาลทับสะแก ส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ และยืนยันว่าตัวของนางสาวมณฑิรา ลูกสาวของนางพรทิพย์ ยังอยู่ในการรักษาของแพทย์
ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปที่ สภ. เมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยพบว่า นางพรทิพย์ อาจหาญ แม่ของนางสาวมณฑิรา มีการสวมใส่เสื้อชุดดำ ที่ตอนแรกเข้าใจว่าจะต้องมาไว้อาลัยและรับศพลูกสาวกลับบ้าน โดยเจ้าตัว เดินทางไป พบกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้การเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยืนยันกับทางพนักงานสอบสวนว่าพบลูกสาวแล้ว และศพที่เจ้าหน้าที่ประสานให้ให้ไปยืนยันนั้นไม่ใช่ลูกสาว จึงได้มีการมาพบกับพนักงานสอบสวนและลงบันทึกประจำวันเอาไว้
นางพรทิพย์แม่ของนางสาวมณฑิรา เผยว่า ตอนแรกตนเองได้รับคำยืนยันและมีการส่งภาพถ่าย ให้กับ และให้เดินทางมาที่มูลนิธิ ในการยืนยันอัตลักษณ์บุคคล และยืนยันก่อนที่จะรับศพ เนื่องจากมีการตรวจสอบเบื้องต้นเบื้องต้นทราบว่าศพที่เจอนั้นคือนางสาวมณฑิรา แต่หลังจากที่ตนเองไปเห็นศพแล้วยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่ศพของลูกสาว เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบใหม่ จนกระทั่งพบว่าผู้เสียชีวิตนั้นชื่อ “ธิดา” เป็นสาวชาวเมียนมา ซึ่งไม่ใช่คนไทย ทำให้ตนเองปฏิเสธอัตลักษณ์บุคคลและยืนยันว่าไม่ใช่ลูกสาวของตัวเอง
แต่หลังจากที่ไม่พบเบาะแสของลูกสาว และไม่พบว่าลูกสาวเป็นศพที่เก็บอยู่ใน มูลนิธิ ตนเองจึงได้ประสานต่อจนกระทั่งได้รับข้อมูลเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ทราบว่าลูกสาวไม่ได้เสียชีวิตแต่อยู่ระหว่างการเข้ารับการรักษา อยู่ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งตอนนี้อาการก็ยังทรงตัว ตนเองไปเยี่ยมลูกสาวมาแล้วก่อนที่จะมาแจ้งลงบันทึกประจำวัน แต่ยังพูดคุยอะไรกับลูกสาวไม่ได้เพราะยังไม่ฟื้น เนื่องจากมีอาการเลือดออกในสมอง ซึ่งทางแพทย์ก็ยังมีการดูแลอย่างใกล้ชิด
ส่วนในฐานะคนเป็นแม่ ที่รู้ว่าลูกสาวไม่ได้เสียชีวิต ก็รู้สึกสบายใจและอุ่นใจมากขึ้น แต่ก็ก็ยังไม่วางใจเพราะเนื่องจากลูกสาวนั้นยังอยู่ในอาการโคม่า ซึ่งก็ต้องดูแลลูกสาวต่อไป ส่วนเรื่องของการเยียวยา เบื้องต้นทราบว่าทางบริษัทรถได้มีการประชุมเพื่อที่จะกำหนดกำหนดตัวเลขในการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เรื่องนี้ก็เชื่อว่า เป็นเหตุการณ์ข่าวใหญ่ ก็คงจะมีการช่วยเหลือและรวมถึงดำเนินการตามที่มีการรับปากกับทางครอบครัวของคนเจ็บและคนตาย
ขณะที่ในวันเกิด ลูกสาวเดินทางจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งไปเป็นครูฝึกสอน ระหว่างที่รอสอบบรรจุ แต่ลูกสาวได้นั่งรถทัวร์ขึ้นมาเพื่อรับตนเอง และพาตนไปร่วมงานศพ ของญาติในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนวันเกิดเหตุ ลูกสาวนั่งรถพาตนเองไปส่งไว้ที่จังหวัดระยองซึ่งเป็นบ้านเกิด ส่วนลูกสาวนั่งรถต่อเพื่อที่จะกลับไปอำเภอหาดใหญ่ เพื่อไปเอารถเก๋ง ที่จะจอดทิ้งเอาไว้ในระหว่างที่เป็นครูฝึกสอน แล้วจะเดินทางกลับมาบ้าน แต่ระหว่างทางประสบเหตุก่อน