จากกรณีเมื่อเวลา 00.16 น. ของวันที่ 5 ธ.ค. รถโดยสารประจำทาง สาย 9914 กทม.-นาทวี รถหมายเลขทะเบียน 14-3301 กรุงเทพมหานคร ชนต้นไม้ข้างทาง เหตุเกิดบริเวณหน้าทางเข้าหาดวนกร กม.331+450 อ.ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ (ขาล่อง) ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 14 ราย มีผู้บาดเจ็บ จำนวน 32 ราย และไม่บาดเจ็บ จำนวน 3 ราย ที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่สำนักสงฆ์ช่องพิกุล อ.ระโนด จ.สงขลา ซึ่งเป็นสถานที่ไว้ศพของนายมัณฑนาธาดา สุจริตธุรการ หรือ ส้มโอ 1 ในผู้เสียชีวิตรถทัวร์มรณะ บรรยากาศงานศพในวันนี้ ได้มีพิธีรดน้ำศพ บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า

 

เราได้พูดคุยกับ นางสาวภัทรกัญญา พี่สาวของผู้เสียชีวิต เล่าให้ฟังว่า น้องของตนเองนั้นทำงานเป็นแอดมินของบริษัทวิริยะประกันภัย ซึ่งเป็นบริษัทประกันของรถทัวร์ที่ประสบอุบัติเหตุอีกด้วย โดยน้องย้ายไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพได้ 2 ปีแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา น้องได้ลาวันหยุดที่ทำงานเพื่อกลับบ้าน เนื่องจาก ช่วงปีใหม่น้องจะต้องทำงานข้ามปีไม่ได้หยุด

 

ปกติแล้วทุกครั้งน้องจะเดินทางนั่งรถไฟหรือไม่ก็นั่งเครื่องบินกลับบ้าน ไม่เคยนั่งรถทัวร์ เพราะน้องเคยบอกว่า นั่งรถทัวร์จะใช้เวลานาน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่น้องได้เลือกนั่งรถทัวร์ครั้งแรกในชีวิตเพื่อกลับบ้าน โดยน้องได้ส่งรูปตั๋วรถมาให้ดู และบอกว่า ให้ตนเองมารอรับได้เลย ซึ่งตนเองก็ได้อวยพรไปให้น้องเดินทางปลอดภัย เพราะเป็นครั้งแรกที่น้องนั่งรถทัวร์กลับบ้าน

 

กระทั่งช่วง 6 โมงเช้าของ 5 ธันวาคม ตนเองได้ทักข้อความไปหาน้องว่า “ถึงไหนแล้ว” แต่น้องไม่ได้ส่งข้อความตอบกลับมา พยายามโทรศัพท์หาน้องหลายสายก็ไม่มีใครรับ

 

จนช่วงบ่ายตนเองได้โทรศัพท์ไปยังบริษัทขนส่งดังกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้น บริษัทตอบมาว่า รถทัวร์คันที่น้องนั่งกลับบ้านเกิดประสบอุบัติเหตุ และตนเองได้โทรเช็กไปยังโรงพยาบาลที่ประจวบฯ จนมารู้ว่าน้องมีรายชื่อเป็น 1 ใน 14 ศพ บนรถทัวร์ที่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งตนเองตกใจมากและเสียใจที่มาเกิดขึ้นกับน้องสาว อยากให้มีการตรวจสอบสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุว่าเกิดจากสาเหตุใด และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเยียวยาครอบครัวทุกครอบครัวที่สูญเสีย

 

ลูกชาย ‘พระอัฏฐ์ชานัช กะนะหาวงศ์‘ ติดต่อรับศพด้วยความเศร้าโศก

 

จากกรณีเมื่อเวลา 00.16 น. ของวันที่ 5 ธ.ค. รถโดยสารประจำทาง สาย 9914 กทม.-นาทวี รถหมายเลขทะเบียน 14-3301 กรุงเทพมหานคร ชนต้นไม้ข้างทาง เหตุเกิดบริเวณหน้าทางเข้าหาดวนกร กม.331+450 อ.ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ (ขาล่อง) ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 14 ราย มีผู้บาดเจ็บ จำนวน 32 ราย และไม่บาดเจ็บ จำนวน 3 ราย ที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

วานนี้  ( 6 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. ที่มูลนิธิสว่างรุ่งเรืองธรรมสถาน ซอย เทศบาล 10 ตำบลทับสะแก อำเภอทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ ได้มี ทางญาติของผู้ตายเดินทางมารับศพเพิ่มอีกราย โดยศพรายนี้คือ พระอัฏฐ์ชานัช กะนะหาวงศ์ อายุ 50 ปี เจ้าอาวาสวัดอุทมพรวราราม จ.ขอนแก่น

 

ทางด้านเจ้าหน้าที่มูลนิธิก็ได้มีการให้ภรรยาและลูกชายมาดูหน้าเพื่อยืนยันร่างของผู้เสียชีวิตอีกครั้งว่าใช่ญาติตนจริงหรือไม่หลังจากที่ทางญาติได้ดูแล้วก็มีอาการร้องไห้เสียใจและยืนยันว่าเป็นญาติของตนจริง

 

ด้านนายกิตติไชยวัฒน์ อายุ 20 ปี ลูกชายของพระอัฏฐ์ชานัช เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า พ่อของตนนั้นได้เดินทางมาที่กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมาโดยได้มีการไปหาเพื่อนเพื่อนและจากนั้นในวันที่สี่ได้เดินทางไปทำวีซ่า เพื่อเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นในช่วงบ่ายก็ได้มาขึ้นรถเพื่อที่จะเดินทางจากกรุงเทพไปยังหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเพื่อจะไปต่อที่ประเทศมาเลเซียเพื่อไปเผยแพร่ศาสนา

 

โดยก่อนที่จะขึ้นรถพ่อของตนก็ได้มีการโทรมาหาตนและคุยกันกว่า 10 นาทีโดยพ่อของตนได้พูดเป็นลางบอกกับตนว่า “พ่อเอาเงินมาให้ 1500บาท แล้วจะไม่ให้เงินแล้วนะ เดือนหน้าไม่ได้ให้แล้ว” และบอกกับตนว่าเดี๋ยวจะไปมาเลเซีย

 

โดยปกติแล้วตนจะเดินทางแบบนี้เป็นประจำขึ้นเหนือลงใต้เพื่อไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยก่อนเดินทางก็จะโทรมาบอกตนก่อนว่าจะไปที่ไหนและพอถึงที่หมายแล้วก็จะโทรมาบอกตนอีกครั้งว่าถึงแล้ว

 

ตนรู้สึกสงสารพ่อตนเป็นอย่างมากเพราะพ่อตนตายตาไม่หลับอีกด้วย วันนี้ตนก็เรียกขอให้เขากลับไปขอนแก่นกับตน

 

และที่ผ่านมาพ่อตนเคยฝากฝังกับตนว่าให้ตนดูแลคุณยายด้วย เพราะตอนนี้คุณยายเหลือตัวคนเดียวแล้วเพราะมีพ่อตนเป็นลูกชายคนเดียว ตนก็สัญญาว่าตนจะดูแลคุณยายให้ดีที่สุดดีที่สุดขอให้พ่อไม่ต้องเป็นห่วงอะไร

 

ตนก็อยากจะฝากถึงทุกๆคนว่าให้ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังเพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และมันสามารถทำให้เราสูญเสียคนที่เรารักได้

 

ขณะเดียวกัน บริษัทรถทัวร์คันที่เกิดเหตุ คือ รถทัวร์บริษัท ศรีสยามเดินรถ จำกัด ส่งคนนำพวงหรีดมาแสดงความเสียใจและความอาลัยกับอุบัติเหตุดังกล่าว ซึ่งจากการสอบถามทราบว่า ทางบริษัทใหญ่มีสาขาอยู่ที่ขอนแก่น จึงได้นำพวงหรีดมาให้เพื่อแสดงความเสียใจและแสดงความไว้อาลัย ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาเป็นเงินต่างๆนั้น ทางบริษัทจะโทรศัพท์มาแจ้งทางครอบครัวอีกครั้ง

 

โดยนาย สมัย พั้วทา อายุ 59 ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านดอนหัน หมู่ 9 ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้น วันที่ 2 ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเป็นลางบอกเหตุ โดยพระลูกวัดซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้ลาสิกขา สึกเพื่อจะไปเป็นทหารเรือ ตามประเพณีชาวบ้านจึงได้ทำพิธีสู่ขวัญให้ แต่ในวันสู่ขวัญนั้น พระอาจารย์มีลักษณะร้อนรน รีบอยากไปกับพระลูกศิษย์ ก่อนที่จะพากันรีบเดินทางไปที่ จ.ยโสธร ซึ่งเป็นบ้านของลูกศิษย์และเป็นวัดที่พระอาจารย์บวช จะไปเยี่ยมพระอุปัฌา และจำวัดอยู่ 2 คืน ก่อนจะออกเดินทางเข้า กทม. เพื่อเดินทางต่อไปที่ อ.นาทวี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะข้ามไปประเทศมาเลเซีย เพื่อเผยแพร่ศาสนา ตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งพระสายธรรมยุทธ์นั้น จะต้องเผยแพร่ศาสนาในทวีปเอเชียก่อน จึงจะสามารถไปเผยแพร่ศาสนาในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ จึงเป็นจุดมุ่งหมายของพระอาจารย์ที่อยากจะเป็นพระธรรมฑูตเผยแพร่ศาสนาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และอยู่ในช่วงศึกษาทำปริญยานิพนธ์ ปริญญาโทด้วย

 

ในวันสู่ขวัญนั้น พระอาจารย์ไม่เป็นอันอยู่อันนั่ง อยากจะเดินทางเร็วๆ ภัตาหารเพลก็ไม่อยากฉัน ตนเองบอกให้ตีกลองเพลเพื่อให้ญาติโยมได้ถวายทำบุญ แต่ลักษณะเหมือนไม่อยากจะทำอะไรแล้วอยากจะไปอย่างเดียวเลย ก่อนจะเดินทางไป จ.ยโสธรและเดินทางต่อเพื่อจะไปประเทศมาเลเซีย กระทั่งเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวขึ้น และในจุดเกิดเหตุนั้น กู้ภัยบอกว่าจุดเกิดเหตุมีต้นตะเคียนใหญ่อยู่ตรงนั้น และมีรถบัสรถทัวร์มาเกิดอุบัติเหตุจุดนี้ถึง 3 ครั้งและแต่ละครั้งก็เป็นอุบัติเหตุใหญ่มีผู้เสียชีวิตหลายคน ช่วงที่หลวงพ่อเดินทางมานั้นเป็นช่วงถึงครึ่งทางและเปลี่ยนพนักงานขับรถคนใหม่ ส่วนคนขับก่อนหน้าก็ไปนอนพักผ่อน ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ แต่การเกิดอุบัติเหตุนั้นไม่น่าใช่หลับในเพราะเพิ่งเปลี่ยนคนขับยสภาพพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะเกิดจากชนบางอย่างก่อนแล้วเสียหลักก็เป็นได้

 

ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไป ที่ หมูบ้านวังไส ต.สามตำบล อ.จุฬาลงภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถานที่ จัดงานศพของน.ส.ยุวดี สุวรรณอินทร อายุ 34 ปี ผู้เสียชีวิต

 

โดยบรรยากาศที่บ้านงานศพ เป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งพ่อกับแม่และญาติๆ ได้นำโลงศพของ น.ส.ยุวดี ผู้เสียชีวิต ไปตั้งภายในเต้นท์หน้าบ้านที่ทางญาติช่วยกันจัดสถานที่เอาไว้  ส่วนพวงหรีด ที่หน้าโลงศพ มีพวงหรีดของบริษัทขนส่ง จำกัด และพวงหรีดของบริษัทศรีสยามเดิน รวมไปถึงพวงหรีดของบริษัทที่ผู้ตายทำงานอยู่ ร่วมแสดงความอาลัยกับการจากไปของ น.ส.ยุวดี

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายถนอม สุวรรณอินทร อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นพ่อของ น.ส.ยุวดี บอกว่า ตนมีลูกทั้งหมด 4 คน ซึ่ง น.ส.ยุวดี เป็นลูกสาวคนโต โดยหลังจากลูกสาวคนนี้เรียนจบ ลูกสาวก็ได้เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ และลูกสาวคนนี้ก็เป็นเสาหลักของบ้าน ซึ่งที่ผ่านมา ลูกสาวจะส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ เดือนละ 1,0000 บาท ทุกเดือน ไม่เคยขาดตลอดระยะเวลาที่เขาไปทำงานกว่า 10 ปี

 

ซึ่งส่วนตัวพ่อ ไม่ค่อยได้คุยกับลูกสาว ทางโทรศัพท์ เพราะลูกสาวจะคุยกับแม่ ซึ่งหากเขาจะคุยกับพ่อ ก็จะคุยเวลาที่ลูกกลับมาหาที่บ้าน โดยครั้งสุดท้ายที่คุยกับลูก เท่าที่จำได้ก็คือเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว  ส่วนลางสังหรณ์ ก่อนเกิดเหตุพ่อนอนไม่หลับมา 3 วันติดกัน   ซึ่งมันผิดปกติ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนตัวอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ เพราะตั้งแต่เกิดเหตุ ยังไม่มีใครโทรศัพท์มาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับ นางสาวมัสติกานต์ ทองคำ อายุ 24 ปี ผู้บาดเจ็บเปิดใจกับทีมขาวช่องแปดว่า ตอนนั้นที่ตนนั่งรถมาก่อนที่จะขึ้นรถและขึ้นรถมาแล้วตนเห็นท่าทีของคนขับปกติดีทุกอย่างไม่มีผิดแปลกอะไรเลย และไม่มีอาการง่วงซึม

 

โดยหลังจากขึ้นรถมาได้สักพักตนก็ได้นอนหลับไป โดยได้ตื่นมามองเรื่อยเรื่อยก็เห็นรถขับปกติดีตนจึงได้นอนหลับต่อพอรู้สึกตัวรถก็ชนแล้ว ตน ตนก็เห็นร่างของพี่สาวตนตกออกจากรถไปนอนอยู่ข้างล่าง และพี่สาวต้นขาหัก

 

โดยในระหว่างนั้นตนก็ได้ยินเสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลาและคนข้างหลังตนก็ร้องและขอให้ช่วย ตนจึงได้เดินออกมาจากที่นั่งและไปยังประตูด้านหลังเพื่อที่จะเปิดประตูออกมาแต่ก็เปิดประตูไม่ได้ แต่ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มาพักประตูออกและตนก็ออกไปได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตรายอื่น โดยตนก็พยามมองหาแต่พี่สาวตนว่าเป็นอย่างไรบ้างเพราะตนเป็นห่วงเขา

 

โดยตนนั้นนั่งอยู่ที่ชั้นล่างของรถฝั่งขวาหลังคนขับเลย เบาะที่ 41 โดยตนนั้นเดินทางมาจากกรุงเทพหลังจากรับปริญญาเสร็จที่มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต และได้เดินทางกลับมาที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อที่จะเอาชุดคุยมาถ่ายรูปกับพ่อ และ เซอร์ไพรส์เขาในวันวันพ่อ โดยเดินทางมากับนางสาวมนทิรา ทองคำ อายุ 27 ปี พี่สาว 2 คน ซึ่งพี่สาวตนนั้นตอนนี้ก็บาดเจ็บอยู่ขาหัก สะโพกหลุด ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์

 

สุดช็อก! สาวนั่งรถทัวร์ครั้งแรกในชีวิตพบจุดจบทันที พระธรรมทูตก็ไม่พ้นความตาย