จากกรณี นายณัฐภัทร หรือ อิ๊งค์ อายุ 28 ปี ผู้ช่วยผู้สื่อข่าวเมืองพัทยา ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าเบ้าตาซ้าย และหัวขณะขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอาการสาหัส ก่อนที่ช่วง 22.30 น. คืนที่ผ่านมา (13 ธ.ค.) ตำรวได้ตามจับกุมตัว นายขวัญชัย หรือ เป๊ก อายุ 32 ปีได้แล้ว โดยนายขวัญชัย อ้างว่า สาเหตุที่ขี่รถประกบยิงนายณัฐภัทร เนื่องจากหัวร้อนที่ถูกขี่รถมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า ซึ่งก่อนเกิดเหตุได้ไปดื่มเหล้าสังสรรค์กับเพื่อนและกำลังขี่รถกลับบ้าน
ล็อกวินมือปืนโหด ยิงผู้ช่วยนักข่าว อ้างถูกแจกกล้วย
ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตำรวจได้ควบคุมตัวนายขวัญชัย ผู้ก่อเหตุออกจากห้องขัง เพื่อให้ พันตำรวจเอก นาวิน ธีระวิทย์ ผู้กำกับ สภ.เมืองพัทยา สอบปากคำด้วยตัวเอง โดยนายขวัญชัยให้การรับสารภาพว่า ตนเองมีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างในเมืองพัทยา ก่อนเกิดเหตุตนเองและกลุ่มเพื่อนประมาณ 3-4 คน ได้นั่งกินเบียร์สังสรรค์กันบริเวณตลาดรันเวย์ สตรีทฟู้ด ถนนพัทยาสาย 2 โดยนั่งดื่มกันตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงประมาณ ตี 5 โดยนั่งกินเบียร์ไปทั้งหมด 3 ลัง (36 ขวด) หลังจากนั้นตนเองและกลุ่มเพื่อนได้ชวนกันขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ยอมรับว่า ขณะนั้นเมาเล็กน้อย
ระหว่างทางกลับบ้าน เมื่อผ่านมาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุระหว่างนั้นได้มีผู้บาดเจ็บ ขี่รถจักรยานยนต์พุ่งพรวดออกมาจากริมทางในลักษณะตัดหน้า ตนเองจึงบีบแตรส่งสัญญาณเตือน แต่ผู้บาดเจ็บกลับแสดงท่าทีไม่พอใจเบรกรถคล้ายกับจะหาเรื่อง ประกอบกับขณะนั้นตนเองกำลังอยู่ในอาการมึนเมาจึงขาดสติชักอาวุธปืนออกมายิงใส่ในทันที โดยไม่ทันยั้งคิด
ก่อนจะเร่งเครื่องรถหลบหนีไป ยืนยันว่า ตนเองกับผู้บาดเจ็บไม่เคยรู้จักหรือมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ในส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันอีกสองคนยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เรื่องที่เกิดขึ้นตนเป็นคนทำเพียงคนเดียว
ส่วนที่ตนเองทำเพื่อนตกรถ ยืนยันว่า หลังจากยิงเสร็จ เพื่อนได้กระโดดลงจากรถเอง ซึ่งตนเองด้วยความตกใจ จึงตัดสินใจทิ้งเพื่อนและขี่รถหลบหนีต่อ
ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ซื้อมาจากเพจขายปืนเถื่อนในราคา 3,500 บาท เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ป้องกันตัวยามออกไปเที่ยวกลางคืน เพราะเคยมีอริในเขตเมืองพัทยา
ยืนยัน ตนเองไม่ได้เป็นมือปืนรับจ้าง หรือ ไปรับงานใครมายิงนายณัฐภัคร แต่ยอมรับว่าพอรู้จักกับเจ้าของร้านสถานบันเทิงในเมืองพัทยาบางร้านจริง เพราะวิ่งมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ ๆ ร้าน
อย่างไรก็ตามเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตนเองก็รู้สึกผิดและเสียใจ อยากฝากคำขอโทษไปยังผู้บาดเจ็บและคนในครอบครัว หากย้อนเวลากลับมาได้คงไม่ทำเช่นนี้
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม นาทีที่นายขวัญชัย ประกบยิงนายณัฐภัทร เป็นภาพหน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ภายในซอยสายสามตัดเพชรตระกูล ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มุมนี้จะเห็นนาทียิงอีกมุมอย่างชัดเจน และได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด ก่อนที่รถนายณัฐภัทร ผู้ช่วยนักข่าวจะล้มไถลไปกับพื้นถนน
นอกจากนี้ยังมีภาพวงจรปิดข้างในร้าน และข้างร้านสถานบันเทิง อีก 2 มุม จะเห็นนาทียิงเช่นกัน เป็นภาพมุมกว้างที่จะเห็นว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุหลังจากยิงเสร็จ ได้ขี่รถหลบหนีไปทันที
และกล้องวงจรปิดบริเวณ 4 แยกไฟแดง เลยจุดเกิดเหตุเพียง 100 เมตร จะเห็นอีกมุมเช่นกันที่จะเห็นนายขวัญชัยมือปืน หลังจากยิงเสร็จได้รีบขี่รถหลบหนี แต่ระหว่างทาง นายสมรัก เพื่อนที่นั่งซ้อนท้ายกลับร่วงตกรถ จากนั้นนายขวัญชัยได้ทิ้งเพื่อน และขี่รถหลบไปทันที ส่วนนายสมรักที่ร่วงตกรถ ได้มีนายจิรชัย หรือ เบิร์ด ที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาด้วย มาจอดรถและพากันหลบหนีต่อ
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบนถนน ก่อนถึงจุดเกิดเหตุอีก 2 มุม ที่จะเห็นรถของนายขวัญชัย ได้ขี่ไล่ตามรถของนายณัฐภัทร ซึ่งจากกล้องจะเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายได้ขี่รถไปบนถนนด้วยความเร็วสูง
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างทางนั้น หลังจากนายณัฐภัทรได้เผลอออกจากร้านขี่เบียดกับรถมอเตอร์ไซค์ผู้ก่อเหตุครั้งแรกไปแล้ว นายณัฐภัทรไม่ได้ขี่เบียดหรือเบรกรถยึกยัก เพื่อกลั้นแกล้งนายขวัญชัยอ้างที่ได้อ้างกับทีมข่าวและตำรวจ ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้ ไม่ตรงกับคำให้การของนายขวัญชัยว่า ถูกฝ่ายนายณัฐภัทรพยายามขี่รถยั่วโมโห ก่อนยิง
พ่อผู้ช่วยนักข่าว ไม่เชื่อ ลูกชายถูกยิงเพราะขี่รถปาดหน้า คาดมีผู้อยู่เบื้องหลัง ฆ่าพ่อไม่ได้ ทำร้ายลูกแทน
ทีมข่าวยังได้พูกคุยกับนายอธิบดี พ่อของนายณัฐภัทรผู้บาดเจ็บอีกด้วย โดยพ่อไม่เชื่อว่า ลูกชายจะถูกยิงเพียงเพราะขี่รถปาดหน้ากันและคิดว่าคดีนี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง โดยพ่อได้โพสต์เฟซบุ๊กร้องข้อความเป็นธรรมผ่านเฟซบุ๊กไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่า
“อย่าปิดคดี กันแบบง่าย ๆ สิ ปืนลูกซองยิงหัวคนนะครับ เค้าออกแบบกันมาแบบนี้ ตำรวจก็อย่ารับมุกสิ ผมขอร้องเรียนให้สอบเพิ่ม 3 ประเด็น
1. ให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ ไปไหนมาบ้าง ไปหาใคร และอยู่กับใคร
2. ทำเรื่องขอเช็กข้อมูลทางโทรศัพย์ ทั้งการโทร เข้า-ออก 1-2 เดือน และข้อมูลแผนที่ทางโทรศัพย์ (GPS) ว่าก่อนเกิดเหตุ กลุ่มผู้ก่อเหตุไปไหนมาบ้าง และอยู่กับใครมาบ้าง ทั้งก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ เพราะสงสัยว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุอาจจะรับงานมา
3. ให้เช็กทางบัญชีการเงิน ว่ามีเงินเข้ามากกว่าปรกติ ของการประกอบอาชีพ จยย. รับจ้างหรือไม่
ผมขอ 3 ประเด็น นี้ครับ ถ้าตำรวจทำไม่ได้ เอาโทรศัพย์มือยิง มาให้ผม ผมจะเช็คให้ดู” พร้อมแท็กสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นายอธิบดียังบอกต่อกับทีมข่าวอีกว่า ตนเองดูภาพจากกล้องวงจรปิดแล้ว แทบไม่มีช่วงไหนที่ลูกชายขี่รถไปเบียดรถของกลุ่มผู้ก่อเหตุเลย และระหว่างทาง ลูกชายก็ขี่รถกลับบ้านปกติ ไม่มีภาพเห็นตอนเบียดกัน ประกอบกับ ลักษณะอาวุธปืนของผู้ก่อเหตุที่ใช้ เป็นปืนลูกซองสั้นประดิษฐ์ หรือ “ปืนอีโบ๊ะ” บรรจุกระสุนได้เพียง 1 นัด ซึ่งตนเองมองว่า เป็นไปไม่ได้ว่า ผู้ก่อเหตุจะหัวร้อนและเอาปืนออกมายิงลูกทันที เพราะลักษณะปืนอีโบ๊ะจะต้องขึ้นนก เพื่อเตรียมจะยิงก่อน ไม่สามารถลั่นไกยิงได้เลย นั่นแปลว่า ต้องมีการเตรียมการมาก่อนอยู่แล้ว
ส่วนเหตุผลที่ต้องยิงลูกชาย ตนเองยังไม่ชัวร์ว่า เกิดจากสาเหตุใด แต่เชื่อว่า อาจจะมาจากตนเองหรือไม่ เพราะตนเองเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์อยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา ก็เคยมีปัญหากับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่บางคน แต่ขอไม่เปิดเผยว่าเรื่องอะไร ซึ่งคนที่เสียผลประโยชน์อาจจะไม่พอใจตนเอง แต่มาทำร้ายตนเองไม่ได้ ก็อาจจะไปลงกับลูกชายแทนหรือไม่ ให้ตนเองเจ็บแค้นเจ็บปวด โดยเลือกลงมือในวันเกิดของตนเอง คือ 13 ธันวาคม พอดี ซึ่งเรื่องนี้ ตนเองพร้อมที่จะเข้าให้ปากคำกับตำรวจ เพื่อขยายผลต่อ
ส่วนอาการของลูกชายขณะนี้ อาการยังสาหัส อยู่ในห้อง ICU หมอยืนยันดวงตาข้างซ้ายบอดสนิท ส่วนกระสุนที่ฝังในหัว โชคดีกระสุนไม่ไปถูกส่วนสำคัญของสมอง จึงไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาออก ส่วนดวงตาข้างขวา อยู่ระหว่างรอดูอาการว่าจะบอดหรือไม่ ซึ่งตนเองภาวนาขอให้ลูกชายปลอดภัย
เปิดใจ 2 เกลอชี้มือปืน ไม่เอาผิดถูกชกบนโรงพัก
ล่าสุดทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับนายจิรชัย และนายสมรัก 2 พยานคนสำคัญที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปพร้อมกับนายขวัญชัยผู้ก่อเหตุ
นายจิรชัย หรือ เบิร์ด คนขี่ PCX สีขาวนำหน้าตามกล้องวงจรปิด และเป็นคนที่เมื่อวานนี้ถูกเพื่อนของผู้บาดเจ็บรุมต่อยจนหน้าผากแตก เลือดอาบหน้า เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองยืนยันในความบริสุทธิ์ว่า ไม่ได้ไปร่วมก่อเหตุ หรือร่วมวางแผนยิงใคร ตนเองเป็นพนักงานร้านเหล้า และหลังจากร้านปิดตนเองได้นั่งกินเหล้ากับนายสมรัก ซึ่งเป็นรุ่นพี่ โดยมีนายขวัญชัย ซึ่งเป็นลูกค้าแวะมานั่งกินด้วยเท่านั้น ก่อนที่จะชวนกันขี่รถกลับบ้าน
แต่ระหว่างทางกลับ นายสมรัก พี่ชายของตนเอง เมาหนักและตัวใหญ่กลัวว่า ตนเองจะประคองรถซ้อนท้ายไม่ไหว จึงได้ให้นายสมรักซ้อนท้ายนายขวัญชัยมือปืนเพื่อขี่ไปส่งบ้าน โดยตลอดการนั่งกินเหล้ากันจนถึงตี 5 กว่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายขวัญชัย พกปืนติดตัวอยู่ตลอด
กระทั่งระหว่างขี่รถกลับบ้านตนเองได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์นำหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถของนายขวัญชัยที่ขี่ตามหลังจะไปขับเบียดกับนายณัฐภัทร
มารู้อีกทีตอนได้ยินเสียงปืนแล้ว ซึ่งหลังจากได้ยินเสียงปืนตนเองได้ชะลอรถ เพื่อหันไปดู ตอนนั้นตนเองตกใจมากทำอะไรไม่ถูก และเห็นนายสมรัก พี่ของตนเองกระโดดร่วงตกรถนายขวัญชัย ตนเองจึงรีบรับตัวนายสมรัก ซ้อนท้ายขี่กลับบ้าน ไม่ได้หนีตามนายขวัญชัยไป
ส่วนเมื่อวานนี้ที่ตำรวจเชิญพวกตนเองไปสอบปากคำ ตนเองได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และยืนยันว่า นายขวัญชัยเป็นผู้ลงมือยิงคนเดียว ส่วนที่เพื่อนของผู้บาดเจ็บ ดักรุมทำร้ายตนเองขณะอยู่ที่โรงพัก ตนเองเข้าใจอารมณ์คนโกรธ ซึ่งตนเองไม่ได้เอาเรื่องหรือจะแจ้งความกลับอยู่แล้ว ส่วนบาดแผล มีทั้งที่ถูกต่อยหน้าผากแตก เย็บไปทั้งหมด 8 เข็ม, ปากแตก และหัวปูด ซึ่งตนเองไม่ได้โกรธอะไร และที่พวกตนเองออกมาพูด อยากให้สังคมเข้าใจว่า พวกตนเองไม่เกี่ยวข้องกับนายขวัญชัยจริง ๆ
เช่นเดียวกับ นายสมรัก แก้วกระจ่าง (อ้วนหัวโล้น) ที่ถูกเพื่อนผู้บาดเจ็บรุมต่อนจนน่วมเช่นกันบอกว่า ตนเองคืนวันเกิดเหตุเมามาก และขอให้นายขวัญชัย ซึ่งนั่งกินเหล้าด้วยกัน แต่ไม่รู้จักกันมาก่อน ช่วยพาไปส่งบ้าน โดยระหว่างทางตนเองซ้อนท้ายหลับตลอดทาง ไม่รู้เลยว่า นายขวัญชัยคนขี่จะเอาปืนไปยิงคน พอได้ยินเสียงปืน เพื่อความตกใจตนเองจึงกระโดดลงจากรถทันที ก่อนที่จะไปขึ้นรถของนายจิรชัยน้องชายกลับบ้าน
ตอนนี้ตนเองเครียดและเสียใจมากที่เมื่อวานนี้ภาพข่าวที่ออกไปเหมือนพวกกันเองถูกเป็นจำเลยของสังคม ตราหน้าว่าเป็นเพื่อนของผู้ร่วมก่อเหตุ ร่วมกระบวนการยิงผู้ช่วยนักข่าว ซึ่งความจริงแล้วตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ส่วนที่ตนเองถูกเพื่อนของผู้ช่วยนักข่าวรุมทำร้ายตนเองไม่ได้โกรธเช่นเดียวกัน แต่อยากให้สังคมเข้าใจว่าพวกตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ และรู้สึกโล่งอกมาก ที่ไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาไปด้วย เพราะหากตัวเองเป็นแพะไปด้วย ตนเองยังมีลูกชายที่เป็นออทิสติกต้องดูแล แม่ป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล หากตัวเองติดคุกไปครอบครัวของลำบาก ซึ่งตนเองอยากขอบคุณตำรวจที่ให้ความเป็นธรรมกับตนเอง และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้บาดเจ็บที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
“ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่า ต่อไปนี้จะขอไม่กินเหล้าเบียร์ เลิกเหล้า ตลอดชีวิต” ยอมรับว่า ผมซวยจริง ๆ ที่ไปนั่งร่วมกินเหล้ากับมัน