นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พานายสมชาย สีชำนาญ พ่อของนางสาวอาภาพร สีชำนาญ หรือ น้องเฟิร์น แถลงขอความเป็นธรรมให้ลูกสาว หลังตกจากเเมนชั่นแห่งหนึ่งใน กทม. เกิดเหตุเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากตกใจ มีชายบุกทุบห้องกลางดึก และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังตั้งข้อหาไม่ชัดเจน มีแค่เรื่องบุกรุกและทำเสียงอึกทึกครึกโครมในยามวิกาล กับ 1 ชีวิตที่เสียไป
ทั้งนี้ นายเอกภพ กล่าวว่า ตอนนี้ได้ประสานผู้กำกับ สน.โชคชัย และพล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ช่วยดูข้อหาในคดีนี้ จะมีการเพิ่มข้อกล่าวหาได้อีกหรือไม่ เนื่องจากมีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้น ตนมองว่า น่าจะถึงขั้น พยายามฆ่า กระทำการประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะมาแจ้งข้อหาอ่อนแบบนี้ไม่ได้ จะขอให้ดำเนินการในข้อหาที่หนักที่สุด
ด้านนายสมชาย กล่าวเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ความจริงแล้วแม่บ้านเข้าใจผิดว่า รถที่ไปจอดทับที่ของผู้ก่อเหตุ เป็นรถของลูกสาว แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย รถจอดอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เอาไปที่หอพักด้วย ปกติลูกสาวเป็นคนขี้กลัว ได้ยินเสียงดังไม่ได้ ก็จะตกใจและกลัว วันนั้นลูกสาวไม่ได้ตอบโต้หรือส่งเสียงตอบกลับไปยังผู้ที่มาบุกของห้องเลย เพราะเขากลัว
อย่างไรก็ตาม รู้สึกเสียใจมาก เพราะปีหน้าลูกจะจบ ป.เอกแล้ว เหลือแค่ทำเรื่องจบ กำลังมีอนาคตที่ดี ถ้ายอมแลกกับชีวิตตัวเองได้พ่อยอมแลก ถ้าเขาอยู่อาจสร้างผลงานอะไรให้ประเทศ อย่างไรก็ตามตอนนี้พ่อยังไม่ได้ไปต่ออพาร์ทเม้นท์ สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มัวแต่ยุ่งกับเรื่องของ ฌาปนกิจลูกสาว ส่วนเรื่องคดีความให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนดูแล แต่เมื่อข้อหาอ่อนแบบนี้ จึงต้องมาร้องสายไหมต้องรอดให้ช่วยเหลือ
นอกจากนี้ นายสมชาย พ่อของผู้เสียชีวิต ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวเราเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวติดใจมาก และไม่ปักใจเชื่อด้วยว่าเป็นเรื่องที่จอดรถ ทำให้บุคคลนั้น ขึ้นไปทุบห้องแบบนั้น เพราะน้องเป็นคนหน้าตาดี อาจจะหวังทำอะไรหรือไม่ แต่ไม่สำเร็จ เพราะน้องไม่ยอมเปิดห้อง จึงใช้วิธีการโวยวายทุบห้องและเฉไฉเป็นที่จอดรถ
อย่างไรก็ตาม อยากให้ตรวจสอบร่างกายของผู้ก่อเหตุอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไรเพิ่มหรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายวันแล้ว แต่ดูแล้วมันไม่เหมือนคนปกติ ต้องมีอะไร เพราะขึ้นไปโวยวายตอนตี 4 มันไม่ใช่คนปกติ
หลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ทีมงานเพจสายไหมต้องรอด พานายสมชาย สีชำนาญ พ่อของนางสาวอาภาพร สีชำนาญ หรือ น้องเฟิร์น ที่พลัดตกจากเเมนชั่นแห่งหนึ่งใน กทม. มาที่เเมนชั่นจุดเกิดเหตุ หวังจะพูดคุยกับผู้ดูแลเพื่อถามข้อเท็จจริง แต่พอเข้ามาแล้วสำนักงานปิด
โดยพ่อน้องเฟิร์นให้สัมภาษณ์ ว่า รู้สึกหดหู่ใจเสียดายและเสียใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ตนเดินทางมาที่หอพักของลูก เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกว่าน้องน่าจะตกใจกลัวมากๆ ถึงกล้าที่จะปีนออกมา น่าจะกลัวจนสติหลุดไปเลย ปีนหนีอย่างลนลาน มันน่าจะเป็นแบบนั้น ลูกเป็นคนขี้กลัวตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุ ตนก็ยังไม่ได้รับการติดต่อมาจากผู้ที่กระทำเลย อีกจุดหนึ่งที่ตนสังเกตก็คือระเบียงของห้องไม่มีอะไรปิดกั้น เหมือนกับหอพักอื่นๆที่มีลูกกรงป้องกัน
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องข้อกฎหมายว่า ผู้ก่อเหตุอาจใช้ช่องไม่เจตนาให้ถึงชีวิต พ่อน้องเฟิร์น กล่าวต่อว่า ขอให้ดูที่พฤติกรรมเขาด้วย ช่วงขณะนั้นเขาอยู่ในอารมณ์ของความมึนเมา เขาจะรู้ตัวได้อย่างไรว่าเขากระทำอะไรลงไป ตั้งใจให้ถึงแก่ชีวิตหรือไม่ เพราะแค่ต้องการให้เลื่อนรถ ก็ไปเคาะบอกดีๆ อันนี้เคาะแบบข่มขู่ และจงใจไปถึงห้อง มีสติหรือไม่ ถ้าเขาไม่มีสติ แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเขาจะทำร้ายหรือไม่ทำร้าย เราก็หวังว่า เพจสายไหมต้องรอด จะช่วยให้ลูกได้รับความเป็นธรรม
จากนั้นทีมงานสายไหมต้องรอดและพ่อรออีกประมาณ 15 นาที ทันทีที่ตัดสินใจกลับ ปรากฏว่า ป้าสา ผู้ดูแลหอพัก เดินมาพอดีพร้อมกับโผกอดพ่อน้องเฟิร์น กล่าว "ขอโทษพ่อทั้งน้ำตา น้องเฟิร์นเป็นเด็กที่น่ารักมาก เฟิร์นอยู่กับหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ขอโทษพ่อที่ดูแลลูกพ่อไม่ได้" พ่อน้องเฟิร์น จึงกล่าวว่า ไม่เป็นไร ก็ขอให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ตนรู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ป้าสา กล่าวชี้แจงด้วยว่า วันเกิดเหตุ ผู้ที่ก่อเหตุโทรมาถามว่า ใครจอดรถทับที่จอดรถของตน และเขาอ่านเลขทะเบียนผิด ทำให้ตนเข้าใจว่าเป็นห้องของน้องเฟิร์น แต่ไม่ได้ตั้งใจพูดเลขห้องน้อง ตนยังพูดกับผู้ก่อเหตุบอกให้เขารอก่อน เดี๋ยวจะโทรตามน้องลงมาขยับรถให้ แต่ผู้ก่อเหตุกลับบอกว่า ไม่ต้องและบุกขึ้นไปเองเลย ซึ่งตอนนั้นเขามีอาการมึนเมา ตนจึงรีบออกจากบ้านและมาที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่ทันพบว่า ร่างของน้องเฟิร์นอยู่ที่พื้นแล้ว ตอนนั้นน้องยังไม่ได้เสียชีวิตทันที จากนั้นกู้ภัยเดินทางมา น้องเริ่มหายใจอ่อนลงเรื่อยและเสียชีวิตในที่สุด
พ่อน้องเฟิร์น ถามป้าสาว่า ผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมเสพยาหรือไม่ ซึ่งป้าสาก็บอกว่า ไม่มี เรื่องนี้ มันแค่รถจอดขวางที่กันเฉยๆ เรื่องเล็กนิดเดียว จากนั้น ทางหอพักได้ให้ผู้ก่อเหตุย้ายออกเลยทันทีทั้งครอบครัว พร้อมชี้แจงด้วยว่า เขาไม่ใช่สามีของแม่บ้านหรือสามีของผู้จัดการหอพัก เขาเป็นผู้อาศัยทั้งผัวและเมีย อาศัยอยู่เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก ซึ่งตอนนี้ไม่ทราบว่า เขาย้ายออกไปอยู่ที่ไหน
ป้าสา กล่าวต่อด้วยว่า ผู้ก่อเหตุอาศัยอยู่ที่นี่เป็น 10 ปีแล้ว ส่วนน้องเฟิร์นอาศัยที่นี่ 4 ปี ปกติหอพักไม่ได้มีการล็อกให้จอดประจำ แต่เหตุที่เขาต้องจอดตรงนี้ประจำ เพราะรถเขาคันใหญ่ ทุกคนในหอพักเลยรู้โดยสัญชาตญาณ ว่า เขาจอดประจำ ถ้าใครมาจอดป้าก็ต้องคอยเลื่อน ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเกิดจากการเมา และขาดสติ ความสำนึกผิดชอบชั่วดีล้วนๆ ไม่มีเรื่องอื่นเลย และผู้ก่อเหตุไม่ได้เข้าไปในห้อง เพราะห้องน้องเขามีสายยูกันอยู่ แต่ที่น้องตกลงมาเพราะกลัว พร้อมฝากถึงผู้ก่อเหตุว่าให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นบทเรียนในชีวิตเขา อารมณ์ร้ายอารมณ์รุนแรงต่างๆมันไม่ช่วยคลี่คลายปัญหาได้ และเรื่องร้ายๆก็จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง ซึ่งตอนนี้ต้นก็รู้สึกว่าผู้ก่อเหตุสำนึกผิด จากความพยายามที่เขาต้องการขอขมาพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต อยากไปร่วมงานฌาปนกิจ แต่ไม่ได้ไปเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย จึงส่งพวงหรีดไปร่วมงาน หลังเกิดเหตุเขาก็ไปซื้อธูป เทียน แพ มาขอขมาน้อง อันนี้น่าจะเป็นจุดที่ตนเข้าใจว่าเขาน่าจะสำนึกผิด ตอนนี้ตัวผู้ก่อเหตุก็เสียใจ ตนก็ติดต่อได้แค่ทางภรรยา
ป้าสา ยังยืนยันว่า กล้องวงจรปิดใช้ได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยก Server ทั้งหมดไปแล้ว ซึ่งชั้น 6 ก็มีกล้องวงจรปิด ทุกชั้นใช้ได้ ขอให้ทางตำรวจเขาจัดการ ขณะที่ รปภ. วันเกิดเหตุมีทำงานอยู่ แต่ว่าไม่มีใครกล้าขึ้นไปเพราะกลัวผู้ก่อเหตุมีอาวุธ แต่ตรวจสอบแล้ว เขาก็ไม่ได้มี ตอนนี้เรามีพยานทั้งบุคคลและพยานหลักฐาน ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้คุยกับ ป้าสา ผู้จัดการแมนชั่นที่เกิดเหตุ ในฐานะคนดูแลตึก เผยว่า เหตุการณ์ในวันดังกล่าว ตนเองนอนอยู่ และปรากฏว่ามีโทรศัพท์โทรเข้ามาช่วงเวลาประมาณตี3 โดยปลายสายคือนายแป๊ะ ซึ่งเป็นสามีของนางสาวปู คนที่พักอาศัยอาศัยอยู่ในแมนชั่น แต่นางสาวปูนั้น เป็นผู้จัดการคนดูแลแมนชั่นอีกตึกหนึ่งซึ่งไม่ใช่ตึกเดียวกันเดียวกันกับที่ตนเองดูแล โดยตัวของนายแป๊ะโทรมาโวยวายด้วยท่าทีคนเมา หลังจากกลับจากงานเลี้ยง จากนั้นก็มีการสอบถามว่ารถ ยี่ห้อซูเมอร์เอ็กซ์ เป็นรถของใคร โดยตนเองก็ยังไม่ได้มีการตอบชัดเจน แต่พูดทำนองว่าเป็นรถของน้องเฟิร์น ชั้น6 มั้ง แต่ปรากฏว่าตัวของนายแป๊ะก็รีบวางสายไป และตนเองก็ตรวจสอบต่อว่าภายในตึกนั้นมีคนใช้รถยี่ห้อซูเมอร์เอ็กซ์กี่คน จนกระทั่งทราบว่าในตึกมีคนใช้2 คัน จึงพยามที่จะโทรกลับไปสอบถามว่ารถป้ายทะเบียนและสีอะไร แต่ก็ไม่ทัน เพราะเนื่องจากมีลูกบ้านคนในแมนชั่นโทรมา และบอกว่าให้รีบมาที่ตึกด่วนเนื่องจากมีคนโวยวายอยู่ที่ชั้น 6 โดยเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ตัวเองตอบคำถามแต่ยังไม่ชัดเจนกับนายแป๊ะ เจ้าตัวได้บุกขึ้นไปที่หน้าห้องของน้องเฟิร์นและก่อเหตุดังกล่าวทันที
ภายหลังที่ตนเองได้รับแจ้งจากลูกบ้าน ก็ได้มีการรีบเข้ามาที่ตึกเพราะเนื่องจากตนเองไม่ได้พักอยู่ที่นี่ แต่พักอยู่อีกที่ เมื่อมาถึงก็ไม่ทันการณ์ เนื่องจากตัวของน้องเฟิร์นได้ร่วงตกตกลงมามาก่อนแล้ว ส่วนตัวของนายแป๊ะที่เข้าใจว่าโวยวายและไปเคาะประตูห้องของน้องเฟิร์น ก็กลับลงไปอยู่ที่ห้องของเจ้าตัวชั้น2ตามเดิม
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองยอมรับผิดว่ามีการสื่อสารและตรวจสอบไม่ละเอียด แต่ในวันนั้นยังไม่ได้มีการยืนยันที่ชัดเจนว่าเป็นรถของ เพราะเพียงแค่ใช้คำว่า “ มั้ง” แต่ก็ไม่คิดว่าตัวของนายแป๊ะจะบุกขึ้นไปอาละวาดและไปก่อเหตุที่ห้องของน้องเฟิร์นจนกระทั่งเกิดเหตุสลดขึ้น
ส่วนในวันนั้นตนเองก็ไม่ทราบน้องเฟิร์นอยู่ในอาการป่วยและต้องกินยานอน เนื่องจากในวันดังกล่าวนั้นตอนที่เจอกันช่วงเย็นเจ้าตัวก็มีท่าทีปกติ และจากบุคลิกของน้องที่อยู่ร่วมกันมาในตึกไม่ต่ำ5ปี น้องเฟิร์นก็ไม่ได้มีบุคลิกหรือนิสัยว่าจะเป็นคนตื่นตกใจกลัวอะไรง่าย จึงทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองแปลกใจและตกใจในคราวเดียวกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องเฟิร์นทำไมถึงร่วงตกลงไปแบบนั้น หลังจากที่ถูกนายแป๊ะบุกไปอาละวาดหน้าห้อง
และที่สำคัญกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนเองอยากจะชี้แจงกับสังคมว่า เป็นเหตุลูกบ้านกับลูกบ้านมีเรื่องกัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้จัดการหรือคนที่เป็นแม่บ้าน เพราะตัวของนางสาวปูภรรยาของนายแป๊ะ แม้ว่าจะมีสถานะเป็นผู้จัดการ แต่เป็นผู้จัดการของตึกอื่นซึ่งอยู่ในบริษัทเครือเดียวกัน แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลตึกนี้ ฉะนั้นจึงไม่อยากให้นำมาโยงว่าคนที่ก่อเหตุนั้นเป็นสามีของผู้จัดการหรือคนที่มีตำแหน่งในตึก เนื่องจากเป็นคนละส่วนกัน
ป้าสา ยังเผยถึงชนวนเหตุที่แท้จริงให้ทีมข่าวฟังว่าเหตุการณ์ที่เกิด เป็นเพราะตัวของนายแป๊ะซึ่งเข้าใจผิด ว่ารถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวเป็นรถของห้องคู่กรณีชั้น 7เนื่องจากห้องดังกล่าวเคยนำรถมาจอดทับที่ของนายแป๊ะ และนายแป๊ะก็เคยที่จะย้ายรถ โดยพลักการณ์ จนเป็นเหตุทำให้เจ้าของรถห้องดังกล่าวเกิดความไม่พอใจ ถึงขั้นเขมรและมองหน้ากัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นชกต่อย ซึ่งในคืนวันเกิดเหตุนั้น รถของห้องชั้น7 ก็มีการเอารถมาจอดตรงนั้นจริง หลังจากที่ตัวของนายแป๊ะกลับมา แล้วโมโหโวยวายไม่พอใจ ประกอบกับตนเองให้ข้อมูลผิด จึงทำให้นายแป๊ะบุกไปก่อเหตุห้องน้องเฟิร์น เพราะเข้าใจว่าเป็นคู่ปรับคือคนห้องชั้น7 จึงทำให้เรื่องบานปลายโอละพ่อ และตนเองก็เข้าใจว่านายแป๊ะตอนที่ไปก่อเหตุโวยวายนั้น คงไม่รู้ว่าหลังประตูห้องหมายเลข 604 คือน้องเฟิร์น ไม่ใช่คู่ปรับที่เคยมีเรื่องกันเกี่ยวกับที่จอด
สำรวจระเบียงและความสูงของตึก “เพื่อนข้างห้อง” เผยคนก่อเหตุทุบห้องหลายนาทีก่อนเสียงของหล่น ชี้คนก่อเหตุเข้าใจผิด คิดว่าคนตายแย่งที่จอดรถ
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวช่อง8 ยังได้รับคลิป จากในบรรดากลุ่มคนพังในแมนชั่น ได้มีการถ่ายบรรยากาศและภาพมุมสูง ของชั้น 6 ที่เกิดเหตุ ซึ่งถ่ายภาพมุมสูงจากระเบียงหลังห้องชั้นเดียวกัน โดยจะเห็นมีหลังคาด้านล่าง 2 แผ่น ลักษณะเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากมีสีที่ต่างกันจนเห็นได้ชั้น ซึ่งเป็นจุดที่น้องเฟิร์นร่วงลงไปเสียชีวิต โดยมีหลังคาแตกเสียหายจึงทำให้ทางแมนชั่นจึงมีการเปลี่ยนหลังคาใหม่หลังเกิดเหตุ , และที่สำคัญหลังระเบียงห้องของน้องเฟิร์นคนตาย เป็นเพียงแค่ระเบียงที่มีราวเหล็กสีฟ้า แต่ไม่ได้มีตะแกรงกันนก เหมือนบางห้องที่มีการติดตั้งเอาไว้ ฉะนั้นจากความสูงของระเบียงที่มีปูนก่อขึ้นมาส่วนหนึ่ง แล้วมีเหล็กเส้นสีฟ้ากั้นเอาไว้อีก3เส้น รวมความสูงประมาณ 1เมตร 10เช็นติเมตร จึงทำให้สามารถปีน หรือร่วงตกลงไปได้ , และจากนั้นทีมข่าวยังได้รับคลิปซึ่งเป็นบรรยากาศ ชั้น6 บริเวณหน้าห้องของคนตาย ซึ่งจะสังเกตว่าเลขห้องของคนตายคือหมายเลข 604 และลักษณะของประตูห้องที่เกิดเหตุเป็นประตูไม้สีน้ำตาล ประตูเป็นแบบลูกบิด
ด้าน นายป๊อป (นามสมมติ) เพื่อนข้างห้องของนางสาวเฟิร์นคนตาย ซึ่งอยู่ชั้น 6 ด้วยกัน เผยว่า ในคืนวันเกิด ตนเองยังไม่นอน ซึ่งกำลังเล่นเกมและดูหนังฟังเพลงอยู่ แต่ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนโวยวายอยู่ที่หน้าห้อง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าหน้าห้องไหน แต่เสียงดังกล้องและดังลั่นชั้น โดยเสียงดังดังกล่าว เป็นเสียงผู้ชายโวยวาย พร้อมกับมีการท้าทายทำนองว่าแน่จริงมึงออกมาสิ ตนเองได้ยินเสียงโวยวายพร้อมกับเสียงเคาะประตู ซึ่งไม่ได้เคาะเหมือนคนเคาะประตูทั่วไป แต่เป็นการลงแรงกระแทก คล้ายกับจะพังประตู ซึ่งตนเองได้ยินนานกว่า 10-20 นาที แต่ก็ไม่มีใครขึ้นมา และเสียงดังดังกล่าวก็ไม่ได้เงียบหรือสงบลง ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน จึงไม่ได้ออกไปยุ่ง ก็เลยตัดสินใจใส่หูฟังและเปิดเพลงให้ดัง แต่หลังจากนั้นปรากฏว่าได้ยินเสียงคล้ายของหล่น แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนตกลงไปด้านหลังระเบียง เพราะตนเองก็เปิดเพลงดัง จึงค่อนข้างกลบเสียงทั้งหมด จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 05:00 น. ตนเองเห็นรถกู้ภัยมาจอดเต็ม จึงออกไปดูก็พบว่ามีคนร่วงตกลงไป และเป็นห้องเดียวกันกับที่ต้นเสียงเคาะประตูเสียงดัง
โดยหลังจากที่เกิดเหตุ ห้องดังกล่าวยังมีลักษณะปิดล็อค ไม่ได้มีการเปิดประตูหรือมีใครพังเข้าไปได้ ต้องมีการประสานช่างเพื่อให้ทำการงัดประตูเข้าไปตรวจสอบ โดยทางกู้ภัยพร้อมด้วยช่างและตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปทำการตรวจสอบพร้อมกัน โดยการงัดประตูเข้าไป ฉะนั้นจึงยืนยันว่าเหตุการณ์ในคืนดังกล่าวตัวของผู้ชายคนก่อเหตุที่โวย ไม่ได้พังประตูเข้าไปเพื่อทำร้ายนางสาวเฟิร์น แต่เข้าใจว่าน่าจะเคาะประตูและโวยวายกดดันอยู่หน้าห้อง จึงเป็นเหตุทำให้คนตายเครียดและพลัดตกลงไปก็ได้
และเหตุการณ์ครั้งนี้ เข้าใจว่า เป็นสามีของผู้จัดการ ขึ้นมาโวยวายทำนองไม่พอใจห้อง 604 เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับที่จอดรถมอเตอร์ไซด์ข้างล่าง และเข้าใจผิดว่าห้องของคนตายอาจจะไปจอดทับที่จึงขึ้นมาโวยวาย แต่คนที่โวยวายนั้นไม่ใช่พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึก เพราะหลังเกิดเหตุพนักงานรักษาความปลอดภัยขึ้นมาพร้อมกับเพื่อนคนตายเพื่อมาตรวจสอบ จึงยืนยันว่าคนที่ก่อเหตุนั้นเป็นสามีของผู้จัดการ ไม่ใช่พนักงานรักษาความปลอดภัยหรือสามีของแม่บ้านอย่างที่เป็นข่าว
วงจรปิดแมนชั่น ว่าที่ ดร.ติ่งตึกดับ มี 16 ตัว ใช้งานได้ครบ แต่ระบบบันทึกดูย้อนหลังไม่ได้
ทีมข่าวช่องแปดเดินทางลงพื้นที่ย้อนกลับไปยังแมนชั่นที่เกิดเหตุ ภายในซอยลาดปลาเค้า กรุงเทพมหานคร ซึ่งพบว่า วันนี้ทางเจ้าของแมนชั่นได้มีการติดต่อเจ้าหน้าที่กล้องวงจรปิดมาทำการติดตั้งกล้องเพิ่มเติม พร้อมทั้งมีการตรวจเช็คระบบ หลังจากพบว่าเซิร์ฟเวอร์ของกล้องวงจรปิดไม่มีการบันทึก ในวันเกิดเหตุ ซึ่งพบว่าอุปกรณ์บันทึกเสีย โดยวันนี้ทางด้านเจ้าของจึงได้มีการติดต่อให้ช่างเข้ามาดำเนินการติดตั้งใหม่ โดยกล้องวงจรปิดของตึกมีการติดตั้งทั้งภายในอาคารและนอกอาคาร รวมถึงบริเวณชั้นต่างๆ รวมมีกล้องวงจรปิดทั้งหมด 16 ตัว ซึ่งกล้องวงจรปิดสามารถใช้งานได้ครบทุกตัว แต่อุปกรณ์ซึ่งเป็นตัวบันทึกหรือเซิร์ฟเวอร์เสียไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุได้ ในวันนี้จึงได้มีการเปลี่ยนตัวบันทึกใหม่พร้อมกับมีการเปลี่ยนกล้องบางจุดที่ไม่ชัดเจนให้เป็นระบบ HD ภาพสี
ที่สำคัญบริเวณหน้าห้องชั้น 6 โดยเฉพาะห้อง 604 ซึ่งเป็นห้องของน้องเฟิร์นผู้เสียชีวิต ก็มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่บริเวณจุดดังกล่าวเหมือนกัน และจากการทดสอบระบบก็ยังสามารถมองเห็นความเคลื่อนไห้ บริเวณหน้าห้องของน้องได้ แต่มีเพียงแค่กล้องที่มองเห็นภาพ ไม่สามารถบันทึกย้อนหลังหรือวันที่เกิดเหตุตอนที่เห็นคนไปเคาะประตูหน้าห้องของน้องเฟิร์นได้
ด้าน นางสาวนิลดา (นามสมมติ) เจ้าหน้าที่ในตึกแมนชั่นที่เกิดเหตุ เผยว่า เดิมทีระบบกล้องวงจรปิดที่นี่มีการติดตั้งกว่า 16 ตัว ซึ่งกล้องทุกตัวสามารถใช้การได้ตามปกติ แต่เพียงแค่ตัวบันทึกหรือเซิร์ฟเวอร์ของกล้องมีปัญหาไม่สามารถที่จะดูย้อนหลังได้ หลังเกิดเหตุทางเจ้าของหอจึงได้มีการสั่งเปลี่ยนระบบบันทึกใหม่เพื่อป้องกันความปลอดภัยและดูแลเรื่องของชีวิตทรัพย์สินให้กับคนในแมนชั่น ซึ่งบางตัวและบางจุดก็ได้มีการเปลี่ยนระบบกล้องจากระบบเดิมไปเป็นระบบ FULL เอชดี เพื่อที่จะให้เห็นถึงความคมชัดมากขึ้น โดยเป็นหนึ่งในมาตรการที่มีการป้องกันหลังจากที่เกิดเหตุ และยืนยันว่าในที่เกิดเหตุกล้องใช้การไม่ได้และบันทึกไม่ได้ ทางเจ้าของหอก็แสดงความบริสุทธิ์ใจโดยการอนุญาตให้ชุดสืบสวนนำไปตรวจสอบแล้ว ก่อนที่จะมีการติดตั้งระบบใหม่ในวันนี้
และ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อว่าเกิดจากความเข้าใจผิด ของคนก่อเหตุ ที่เข้าใจว่ามีการขับรถไปจอดทับที่กัน ส่วนตัวก็รู้สึกสงสารสงสารน้องที่ต้องเป็นผู้เคราะห์ร้าย ที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้แต่กลายเป็นถูกเป็นเหยื่อ
ภายหลังเกิดเหตุ ตอนแรกก็สังเกตุเห็นว่านางสาวปูซึ่งเป็นผู้จัดการแมนชั่น ยังคงพักอาศัยอาศัยอยู่กับนายแป๊ะสามี ในฐานะคนก่อเหตุที่บุกไปอาละวาดหน้าห้องของน้องเฟิร์น 2ผัวเมีย ยังอาศัยอยู่ภายในตึกตามปกติ แต่เพิ่งจะย้ายออกไปเมื่อวานนี้หลังจากที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน หนีสื่อ หรือเพราะถูกกดดันจึงย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือไม่ ซึ่งมีการขนของย้ายหนีโดยการใช้รถกระบะเข้าใจว่ามีการว่าจ้างมา ให้มาขนของบางส่วนที่เป็นของสำคัญย้ายหนีออกไปจากแมนชั่นแล้ว
โดยวันนี้ ทีมข่าวช่องแปดได้เจอกับ หนึ่งในรถ คันที่นำมาจอดทับที่รถของนายแป๊ะคนก่อเหตุ คือเจ้าของรถคลิกสีขาว โดยรถคันดังกล่าวสภาพแตกเสียหายทั้งบังโคลนและเฟรมรถ รวมถึงกระจก เนื่องจากร่างของน้องเฟิร์นร่วงตกลงมาทับรถก่อนที่จะกระแทกพื้น และรถคันดังกล่าวก็เป็นรถคันที่จอดทับที่ของนายแป๊ะในวันเกิดเหตุ
นางสาวบีม (นามสมมติ) เปิดใจว่าที่จอดรถของแมนชั่นไม่ได้มีการกำหนดว่าจะต้องจอดจุดใดเป็นประจำ หรือรถคันไหนห้องไหนจะต้องจอดจุดนั้นจุดนี้ ซึ่งสามารถจอดได้ถ้าหากพบว่าว่าง และในวันนั้นตนเองเห็นว่าบริเวณทางขึ้นของตึก มีที่จอดว่างอยู่จึงได้มีการจอดรถเอาไว้ช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตอนที่มาจอดรถนั้นมีรถมอเตอร์ไซต์ของพนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกจอดอยู่อีกหนึ่งคันและใกล้กันเป็นรถจักรยาน แต่ตนเองยังไม่เห็นรถยี่ห้อซูเมอร์เอ็กซ์ เพราะตอนนั้นตนเองมาถึงก่อน แต่เข้าใจว่ารถคันดังกล่าวมาจอดทีหลัง
แต่หากย้อนกลับไปตนเองเคยจอดที่ดังกล่าวบ้างแต่ก็ไม่บ่อย แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าตัวของนายแป๊ะหรือใครจะมาโวยวาย หรือเคาะประตูสั่งให้ย้าย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นนิสัยส่วนตัวหรือยังไง ทำไมถึงมองว่าที่จอดรถตรงนั้นต้องเป็นของเจ้าตัว แต่ส่วนหนึ่งตัวเองก็รู้สึกผิดที่เอารถไปจอดใกล้กับจุดที่นายแป๊ะอ้างว่าเป็นที่จอดประจำ และอาจเป็นเหตุที่ทำให้นายแป๊ะไม่มีที่จอดจึงต้องขึ้นไปโวยวายห้องของน้องเฟิร์นหรือตามหาเจ้าของ จนเป็นเหตุทำให้เกิดเหตุสลดขึ้น
ซึ่งหลังเกิดเหตุตนเองได้มีการเดินทางไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลพร้อมทั้งมีการถวายสังฆทานให้กับน้องเฟิร์นคนตายแล้ว แต่รถของตนเองนั้น ยังไม่สามารถใช้การได้ต่อเพราะเนื่องจากรถมีสภาพเสียหายและตอนนี้ก็ยังรอทางเจ้าของตึกมีการพิจารณาพิจารณาเรื่องการชดเชยและเยียวยาก่อนที่จะนำรถไปซ่อม เพราะรถใช้การไม่ได้ แต่หลังจากที่ตัวเองทำบุญเมื่อวานเสร็จแล้วก็ได้มีการซื้อพวงมาลัยมาแขวนเอาไว้ที่รถพร้อมกับบอกกล่าวให้ดวงวิญญาณของน้องไปสู่สุคติ และตนเองก็ขอโทษน้องที่อาจจะทำให้เป็นเหตุที่ทำให้นายแป๊ะเข้าใจผิดเนื่องจากมีการไปแย่งที่จอด
ด้านหมอกอล์ฟ นายแพทย์สิทธา ลิขิตนุกูล ได้ให้ข้อมูลเรื่องนี้กับทีมข่าวช่อง 8 ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนเป็นแพนิคหรือโรควิตกกังวล หากตกใจจะสามารถถึงขั้นปีนออกไปนอกหน้าต่างแล้วร่วงกตกลงไปจากชั้น 6 จนเสียชีวิต โดยหมอกอล์ฟบอกว่าสามารถเป็นไปได้ ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ต้องหมั่นพบแพทย์และทานยาอย่างสม่ำเสมอ ภาวะนี้จะเกิดจากความกลัวเหมือนโดนจู่โจม อาการจะเกิดข้นอย่างรวดเร็วภายใน 3-10 นาที