พ่อแม่น้องชมพู่ เดินออกจากศาลด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังศาลตัดสิน จากนั้นทั้ง 2 ได้เดินทางมาแถลงข่าวที่ร้านอาหาร ด้านพ่อแบม พยานคนสำคัญเข้ามาโอบกอดให้กำลังใจ
เวลา 12.45 นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อและแม่น้องชมพู่ ได้เดินออกจากศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยพ่อน้องชมพู่ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ขายาว ส่วนแม่น้องชมพู่ สวมเสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สังเกตว่าทั้ง 2 คน มีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะเดินไปขับรถกระบะคันสีขาวออกมาจากศาล
จากนั้นพ่อแม่น้องชมพู่ได้ขึ้นรถยนต์กระบะส่วนตัว เพื่อเดินทางมาแถลงข่าวที่ร้านอาหารใน จ.มุกดาหาร เมื่อแม่ชมพู่เดินลงมาจากรถ ก็ได้ถือภาพน้องชมพู่ลงมาด้วย พร้อมกับมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนจะพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ อยากจะบอกลูกสาวว่า น้องได้รับความยุติธรรมแล้วนะ ตัวเองรู้สึกตื้นตันมาก”
จากนั้นพ่อแม่ น้องชมพู่ ได้เดินมายังร้านอาหาร ซึ่งก่อนจะเข้าไปในร้าน พ่อแบม พยานคนสำคัญในคดี ก็ได้เข้ามากอดให้กำลังใจ พ่อแม่น้องชมพู่ ก่อนที่ทั้ง 3 คน จะร้องไห้น้ำตาซึมออกมา จากนั้นพ่อแม่น้องชมพู่ ก็กล่าวขอบคุณพ่อแบม ที่ยืนเคียงข้างกันมาตลอด ให้การกับตำรวจตั้งแต่แรกแบบไหนก็เป็นแบบนั้นเสมอมา
เมื่อมาถึงร้านอาหาร พ่อแม่น้องชมพู่ พร้อมกับทีมทนายความ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
โดยนายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล ทนายความ กล่าวว่าวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษา ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระสินไหมทดแทนทางแพ่ง ให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง คือ พ่อแม่ของน้องชมพู่ เป็นเงินคนละ 1,100,000 บาท ท่านวินิจฉัยร่วมว่า ยังมีข้อสงสัยตามสมควรแต่ก็มีประเด็นที่เราเห็นแตกต่างกันซึ่งในข้อเท็จจริงท่านวินิจฉัยไว้เป็นขั้นตอนและสมเหตุสมผลเพียงแต่ที่พนักงานอัยการ ฟ้องไปในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล เรายังเชื่อในทางนั้นอยู่แต่ศาลวินิจฉัยเอาไว้ว่า จำเลยน่าจะเข้าใจผิดว่าน้องได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงนำขึ้นไปไว้บนเขา แต่เรารู้สึกเห็นแย้งและเห็นต่างไปจากท่าน เนื่องจาก เรามองว่า ถ้าหากเราอุ้มเด็ก ลมหายใจก็จะติดอยู่กับตัวของเรา เราก็ยังจะทราบว่าเด็กมีชีวิตอยู่หรือไม่ ระยะทางกว่าจะขึ้นไปจนถึงที่เกิดเหตุ เชื่อว่าคนอุ้มจะต้องทราบดีอยู่แล้ว และนอกจากนี้ยังมีของเล่นเด็กที่ไปตกอยู่บนเขาด้วย เราเชื่อว่ามีคนเอาเด็กไปไว้บนเขาและนำของเล่นเด็กขึ้นไปให้ด้วย
ทั้งนี้ จะไม่ก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล แต่ก็เคารพคำวินิจฉัยของ ผู้พิพากษา ซึ่งในส่วนนี้จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ต่อไป ทุกข้อหาที่ฟ้องไปเบื้องต้นจะยื่นอุทธรณ์ทั้งหมด
ส่วนที่ศาลลงโทษจำเลยที่หนึ่งว่าประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เราก็เคารพ แต่ก็มีข้อเท็จจริงที่มากเพียงพอที่จะยื่นอุทธรณ์ว่าจำเลยทราบว่าเด็กหรือน้องชมพู่ยังมีชีวิตอยู่จึงนำไปปล่อยไว้บนเขา
ส่วนที่ศาลวินิจฉัย เพราะว่าพยานหลักฐานต่างๆ มันสามารถเชื่อมโยงกันได้ เริ่มจากพนักงานสอบสวนที่มีการรวบรวมพยานหลักฐานเชื่อว่าไม่ได้เข้าข้างผู้ใดและเป็นเรื่องพิรุธของตัวจำเลยเองที่ให้การขัดแย้ง กับพยานของตัวเองในเรื่องช่วงเวลาที่เกิดเหตุและพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น มีพยานบุคคลที่เห็นตลอดเส้นทาง จำเลยอ้างว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้อง และเหตุผลที่สำคัญคือเหตุผลทางนิติวิทยาศาสตร์ มีการรวบรวมเป็นขั้นตอนและละเอียดมาก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เรื่องเส้นผมที่อยู่บนรถของจำเลยที่ 1 ด้วย
ขณะที่ นางสาวิตรี กล่าวว่า ยอมรับ ก่อนฟังคำพิพากษา รู้สึกตื่นเต้น ซึ่งทันทีที่ ทราบคำตัดสิน ส่วนตัวก็รู้สึกพึงพอใจ และตื้นตันหลังที่ผ่านมา มีความตั้งใจที่ต้องการรู้เพียงว่า มีบุคคลทำให้ น้องชมพู่ ตาย และบ่งชี้ว่าคดีดังกล่าวมีคนร้าย แม้ว่าผลตัดสินของศาลจะออกมา ไม่ตรงกับคำฟ้องของอัยการ พร้อมขอบคุณกระบวนการยุติธรรม ศาลจังหวัดมุกดาหาร ตำรวจที่รับผิดชอบคดี ชาวบ้านที่เป็นกำลังใจ ขณะที่บรรยากาศที่อยู่ในศาลคู่กรณีก็ไม่ได้มาพูดคุยหรือว่ายกมือขอโทษอะไร พร้อมกับไม่อยากตอบปัญหาครอบครัว
ด้านนายวัชรินทร์ กงแก่นท้าว หรือ พ่อแบม พยานปากสำคัญ กล่าวว่า อย่างแรกคือขอบคุณศาลมุกดาหารที่ให้ความยุติธรรมแก่ชมพู่ สำหรับความรู้สึกตนเอง ดีใจที่ได้รับความยุติธรรมในครั้งนี้ ย้อนกลับครั้งแรก ยอมรับ ตอนที่ตำรวจมาสอบปากคำถึงที่บ้าน ก็รู้สึกกลัว แต่ถ้าไม่พูดอะไร ก็กลัวว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ก็เลยต้องพูดอะไรสักอย่าง ทำให้ตัดสินใจพูดความจริงออกมา ว่าจำเลยมีพิรุธมาก วันที่เกิดเหตุ จำเลยเข้ามาพูดกับตนเองให้เปลี่ยนเวลาเพราะเวลานั้นคือเวลาเด็กหาย เปลี่ยนจากเรื่องความจริงให้เป็นอีกเรื่อง
โดยในวันนั้น ลุงพลจะเข้ามาทำร้ายตัวเอง และมีลูกชายตนเองอยู่ด้วยก็เลยไม่กล้าทำร้าย และพยายามบังคับ พูดจาข่มขู่ บังคับให้ตนเองเปลี่ยนเวลาและวันที่ตลอด แต่ตนก็ยังยืนยันคำให้การเดิม อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากลัวและมีความกังวล ว่าถ้าลุงพลได้รับการประกันตัวออกมาจะถูกคุกคามเพราะที่ผ่านมาก็เคยถูกคุกคาม เพราะพยายามที่จะทำร้ายร่างกายด้วย