กรณีเมื่อเวลา 12.35 น. ศาลพิพากษาว่า นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น จำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชำระสินไหมทดแทนทางแพ่ง ให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง คือพ่อ-แม่น้องชมพู่ เป็นเงินคนละ 1,100,000 บาท
ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายวัชรินทร์ กงแก่นท้าว หรือ พ่อแบม พยานปากสำคัญเปิดเผยข้อมูลว่าวงค่ำของวันที่ 15 พ.ค. ตัวเองก็เห็นที่บ้านลุงพล มีการจุดไฟเผาอะไรบางอย่าง จนเกิดกองไฟขนาดใหญ่ ที่ข้างบ้านของเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ลุงพลเผานั้นเกี่ยวข้องกับ หลักฐานในคดีของน้องชมพู่หรือไม่
ลุงพลชี้แจงว่าจะนำเรื่องการเผาขยะมาเป็นประเด็นก็ไม่ถูก เพราะทุกบ้านก็เผากันหมดถ้าอย่างนั้นบ้านไหนเผาก็มีพิรุธทุกบ้าน
ที่สำคัญจุดเผาขยะของลุงก็อยู่หลังบ้านอยู่แล้วแล้วตำรวจก็ไปตรวจสอบแล้วด้วย
แต่เมื่อทีมข่าวถามว่าแล้วสรุปว่าวันนั้นลุงพลได้เผาขยะหรือไม่หรือเผาอะไร ลุงพลตอบว่าเผาเกือบทุกวัน ที่สำคัญในช่วงนั้นที่มีการค้นหาน้องชมพู่มันมีขยะเยอะทุกคนก็จะเอามารวมไว้แถวแถวนั้นมาทิ้งรวมไว้ตรงนั้นลุงพลก็ต้องเผาเป็นเรื่องปกติ
ส่วนประเด็นเรื่องที่มีสื่อนำเสนอว่าจากเหตุการณ์ที่ลุงพลถูกตัดสินว่ามีความผิดสองข้อหาในคดีน้องชมพู่จนทำให้นางรำลดเหลือแค่ 17 คน ลุงพลบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องเลย เพราะว่าการรำนั้นขึ้นอยู่กับกลุ่มเอฟซีหรือผู้ใหญ่ใจดีที่ต้องการว่าจ้างให้นางรำมารำ วันส่วนการรำวันนี้นั้นเป็นการรำเพื่อเปิดบวงสรวงเฉยๆ ไม่ได้เป็นการว่าจ้างเพื่อมารำแก้บน แต่อย่างรอบที่ผ่านมาที่มีพิธีบวงสรวงใหญ่มีคนบนบานเอาไว้เยอะพอรวมแล้วก็เลยทำให้มีนางรำถึง 888 คน ไม่ได้หมายความว่าลุงพลถูกตัดสินแบบนี้แล้วจะเหลือนางรำแค่ 17 คน จะให้มารำเป็นถึงพันคนก็ได้ถ้าลุงขอให้เอฟซีมาช่วยรำ
พ่อแบม ยืนยันช่วงวันหลังจากเจอศพน้องชมพู่ เคยเห็นลุงพลเผาอะไรบางอย่าง อยู่ที่หลังบ้านแค่ครั้งเดียว ชี้ หลังจากเจอศพน้องชมพู่ เห็นลุงพลสวดท่องอะไรบางอย่างอยู่ในบ้าน
ช่วงค่ำวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้มาพูดคุยกับ นายวัชรินทร์ กงแก่นเท้า หรือพ่อแบมอีกครั้ง หลังจากที่ลุงพลออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ลุงพลเผาขยะเป็นปกติทุกวันอยู่แล้วนั้น
พ่อแบมให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่ลุงพลตอบกลับว่า หลังจากเจอศพน้องชมพู่ เท่าที่ตัวเองสังเกตบ้านของลุงพล ตัวเองเห็นเค้าเผาขยะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ได้เผาทุกวัน โดยวันที่ตัวเองเห็นนั้น ตัวเองจำวันที่ไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นช่วงสองถึงสามวันก่อนที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานจะลงพื้นที่ตรวจ หาหลักฐานที่บ้านลุงพล
ส่วนที่ลุงพลบอกว่าเค้าก็เผาขยะปกติทุกวันอยู่แล้ว อันนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะพูดแบบนั้น
ทีมข่าวจึงถามพ่อแบมอีกว่า ที่ผ่านมาช่วงเกิดคดีน้องชมพู่ ได้เห็นลุงพลมีพฤติกรรมแปลกๆหรือไม่ พ่อแบมก็บอกว่า ช่วงวันหลังจากเจอศพน้องชมพู่ ตัวเองก็ได้ยินเสียงลุงพลจะสวดอะไรบางอย่าง เสียงดังมาจากในบ้าน แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเค้าสวดอะไร เพราะตัวเองนับถือศาสนาคริสต์ และบางวันลุงพลก็ถึงขั้นพาพระมาทำบุญที่บ้าน
ส่วนถามว่าลุงพลเคยตัดผมเด็กในหมู่หมู่บ้านหรือไม่นั้น ตัวเองก็ไม่เคยเห็น การกระทำนี้ของลุงพลมาก่อน
ทีมข่าวลงพื้นที่มายังสวนยางพาราด้านหลังบ้านพ่อแบม
พร้อมกับจำลองเส้นทางที่จุดนี้พบว่า ที่สวนด้านหลังบ้านพ่อแบมนั้น จะเป็นทางเชื่อมระหว่างบ้านลุงพล - สวนพ่อแบม และสามารถเดินเชื่อมไปบ้านน้าต่าย และบ้านของน้องชมพู่ได้ และนอกจากนี้เส้นทางดังกล่าว ยังสามารถเดินขึ้นไปภูเหล็กไฟได้
จากนั้นทีมข่าว จึงเดินต่อไปที่ตีนของภูเหล็กไฟ เพื่อจะจำลองว่าสามารถ เดินมาจากสวนของพ่อแบมได้ พอทีมข่าวเดินขึ้นภูเหล็กไฟ เพราะว่าบรรยากาศตอนนี้ มีหญ้าเพ็ก ขึ้นประมาณ 100-120 เมตร คาดว่าผู้ใหญ่สามารถเดินได้ ส่วนเด็กนั้น ไม่สามารถเดินได้แน่นอน เพราะแม้กระทั่งตีนเขาเหล็กไฟก็ยังมีความสูงต่ำของพื้นดินไม่เท่ากัน แต่เส้นทางจากบ้านพ่อแบมและ หลังบ้านของน้าต่ายนั้น พบว่าสามารถเดินมา ขึ้นภูเหล็กไฟที่จุดนี้ได้