ททท.ภูมิภาคภาคตะวันออกเดินแผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยว "สบ๊าย สบาย ภาคตะวันออก" ตอบรับนโยบายรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา กระจายคนเที่ยวเมืองรองไม่กระจุกหัวเมืองใหญ่ จับมือผู้ประกอบการ อัดโปรโมชั่นเพิ่มขยายวันเข้าพัก ดันรายได้ปี ’67 พุ่งตามเป้า
นายสมชาย ชมพูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ภูมิภาคภาคตะวันออกได้ดำเนินการสานต่อแผนกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวตามนโยบายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในปี 2566 มาอย่างเข้มข้น ต่อเนื่องถึงปี 2567 ภายใต้แนวคิด สบ๊าย สบายภาคตะวันออก เพิ่มความถี่ในการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่ม GEN Y และวางเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 2 แสนล้านบาท โดยสถานการณ์การท่องเที่ยวของภาคตะวันออกทั้ง 9 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ ในปัจจุบันมีการเติบโต และขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีการขับเคลื่อนแผนกระตุ้นท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลมาโดยตลอด ในยุคของรัฐบาลปัจจุบัน ได้เน้นกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว 1.เรื่องความถี่ไม่ให้กระจุกตัวในช่วงวันหยุดและในเมืองใหญ่ จะต้องกระจายไปในจังหวัดเมืองรอง 2.เรื่องขยายเวลา เพิ่มวันในการเข้าพัก ปกติแล้วภาคตะวันออกนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะพักค้างคืนแค่ 2 วัน 1 คืน เราพยายามกระตุ้นให้เพิ่มวันพัก เป็น 3 วัน 2 คืน , 4 วัน 3 คืน เป็นต้น โดยร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวจัดกิจกรรมเชิญชวน โปรโมชั่นลดราคา เพิ่มแรงจูงใจ และร่วมมือกับบัตรเครดิต เจ้าของโรงแรม รีสอร์ตต่าง ๆ 3.เรื่องเพิ่มค่าใช้จ่ายใน 3 จังหวัดหลัก ที่มีโรงแรมที่พักหรูหราราคาแพง อาทิ เกาะช้าง จ.ตราด หรือที่ จ.ระยอง ที่มีที่พักราคาคืนละหลักแสนบาท” ผู้อำนวยการภูมิภาค ภาคตะวันออก กล่าว
ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก ททท. กล่าวต่ออีกว่า ภาคตะวันออกมีนักท่องเที่ยวคนไทยเข้ามาท่องเที่ยว 23 ล้านคนต่อปี ค่าใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ย 5,000 บาท ความน่าสนใจของตลาดตอนนี้ คือ การเข้าพักจากเดิมจะเป็น 2 วัน 1 คืน ตอนนี้เริ่มขยับเป็น 3 วัน 2 คืน ถ้ามองในรายจังหวัด มีพื้นที่ท่องเที่ยวหลักคือพัทยา จ.ชลบุรี รองลงมาคือ จ.ระยอง ด้านรายได้นั้นพบว่า จ.สมุทรปราการ จ.ฉะเชิงเทรา สร้างรายได้สูงและมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่เป็นการท่องเที่ยวแบบเดินทางเช้าไปเย็นกลับ ตัวเลขค่าใช้จ่ายจึงน้อยกว่า จ.ชลบุรี จ.ระยอง ส่วนดาวรุ่งคือ จ.จันทบุรี เป็นเมืองรองที่เราพยายามผลักดัน สำหรับจังหวัดที่ยกให้เป็นการท่องเที่ยวพรีเมี่ยมคือ จ.ตราด จ.ชลบุรี จ.ระยอง เพราะมีโรงแรมที่พักคุณภาพสูง หรูหราระดับ 5 ดาว รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มบน ระดับไฮเอนด์ ที่มีกำลังซื้อสูง กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในภาคตะวันออกส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพฯ รองลงมาคือจังหวัดในภาคกลาง ได้แก่ กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ อยุธยาฯ เชียงใหม่ กิจกรรมการท่องเที่ยวที่ติดเทรนด์คือ ถ่ายรูป กินอาหาร ช้อปปิ้ง พักผ่อน และสายมู ไหว้พระขอพร ด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติ อันดับ 1 คือ รัสเซีย อินเดีย จีน ตะวันออกกลาง โดยตลาดที่กำลังโตอย่างรวดเร็ว คือ เกาหลี ญี่ปุ่น ลาว เวียดนาม
“ภาคตะวันออกมีชายฝั่งทะเล 500-600 กิโลเมตร มี 4 เมืองหลัก 5 เมืองรอง ซึ่งเมืองหลัก คือ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ส่วนเมืองรองมี จันทบุรี ตราด นครนายก สระแก้ว ปราจีนบุรี มีประชากร 7 ล้านคน ที่ผ่านมา รูปแบบการท่องเที่ยวในภูมิภาคจะเป็นแบบช่วงระยะสั้น หมุนเวียนภายใน 9 จังหวัด สำหรับโรงแรมห้องพักมี 1 แสน 3 หมื่นกว่าห้อง มีเส้นทางคมนาคมสะดวกสบาย ทั้งทางเรือ ทางรถยนต์ มอเตอร์เวย์ ทางรถไฟวิ่งจากหัวลำโพงมาที่พัทยา สัตหีบ ระยอง อีกเส้นทางหนึ่ง จากกรุงเทพฯ ไปฉะเชิงเทราหรือแปดริ้ว ด้านปราจีนบุรี สระแก้ว ต่อไปเส้นทางนี้จะเชื่อมโยงไปกัมพูชาได้ นอกจากนี้ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินตราด มีการเชื่อมเข้าสู่ภาคตะวันออก สนามบินอู่ตะเภา มีเครื่องบินจากยุโรปเข้ามา เป็นต้น ทำให้กลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวในภาคตะวันออกมีความได้เปรียบตรงนักท่องเที่ยว ไม่ต้องมีการวางแผนวันหยุดงาน เพราะใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน อาทิ ขับรถจากกรุงเทพฯ 2 ชั่วโมงก็ถึงระยองแล้ว นึกอยากจะมาเที่ยวตอนไหนก็มาได้ ทำให้ภาคตะวันออกสามารถกระตุ้นตลาดได้รวดเร็ว ทันกระแส โดยเราต้องเน้นจัดกิจกรรม สร้างคอนเทนท์ มีแม่เหล็กเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี” ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก กล่าวในที่สุด