"โบ้" มอบตัวแล้ว กราบเท้าขอขมาแม่ผู้ตาย เจอสวน ไหนบอกว่ารักลูกแม่ ทำแบบนี้ไม่เรียกว่ารัก
จากกรณี นายธนวัฒน์ หรือ โบ้ อายุ 34 ปี ได้ก่อเหตุทำร้ายแฟนสาว คือ นางสาวเพ็ชรรัตน์ หรือ แพรว อายุ 32 ปี จนเสียชีวิตภายในห้องนอนของบ้าน ก่อนที่นายโบ้จะอุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของแฟนสาวขึ้นรถกระบะขับไปส่งโรงพยาบาล และได้โทรศัพท์ไปหาน้องของคนตายแกล้งทำว่าคนตายเกิดอาการชักเกร็งด้วยโรคประจำตัว จากนั้นนายโบ้ได้หลบหนีออกจากโรงพยาบาลไป เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา
วันที่ 3 ม.ค.67 นายธนวัฒน์ หรือ โบ้ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีซ้อมนางสาวแพรวแฟนสาวจนเสียชีวิต ถูกตำรวจชุดสืบสภ.บางศรีเมือง จ.นนทบุรี นำตัวไปสอบปากคำ ภายหลังเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พ่อและแม่ของนายโบ้ ได้พาเข้ามอบตัวกับตำรวจ
โดยก่อนที่จะนำตัวไปสอบปากคำนายโบ้ไปสอบปากคำ แม่ของนายโบ้ได้ขอให้ไปกราบเท้าขอขมาแม่ของผู้ตาย ซึ่งนายโบ้ กล่าวว่า โบ้ขอขมาในสิ่งที่ตนทำผิด โดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ขอให้แม่อโหสิกรรมให้ตน เพราะตนสำนึกผิด ตนไม่ได้เจตนาให้เป็นแบบนี้ วันที่แพรวอยู่โรงพยาบาลตนอยากไปเยี่ยม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตามตัวตนก่อน ตนจึงได้หลบหนีก่อน ตนผิดไปแล้ว ตนขอขมารับผิดทุกอย่าง ยอมรับว่าตนเองเป็นคนผิดตนก็ต้องรับสิ่งที่ตนทำผิดไป แต่ตนไม่ได้เจตนาฆ่าน้อง
ด้านแม่ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ไหนโบ้ว่ารักแพรวไง คนรักกันเขาไม่ทำแบบนี้ ก่อนที่จะอยู่ด้วยกันตนเคยพูดไว้ว่าตนขออย่างเดียว รักกันได้อย่าตบตีกัน ทะเลาะกันได้ถ้าเรื่องใหญ่ให้บอกตน แล้วโบ้ก็รับปากกับตนแล้ว ไหนบอกว่าจะสร้างครอบครัวกับลูกตน ทำแบบนี้มันไม่ใช่คนรักกัน
ด้านพล.ต.ต.ปรารถนา แผ่นผา ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ระบุว่า ผู้ต้องหาให้การว่า มีการหึงหวงกันและมีการตบตี โดยใช้มือตบ และใช้หมัดต่อย หลังจากนั้นผู้เสียชีวิตได้ล้มลงศีรษะกระแทกกับเตียง ส่วนสาเหตุที่ซี่โครงหักเพราะถูกต่อย ซึ่งจากการสอบถามในระหว่างที่อยู่ด้วยกันมีปากเสียงกัน จะเป็นการพูดคุยปรับความเข้าใจกันมากกว่า
เบื้องต้นได้ตั้งข้อกล่าวหาว่า ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย หลังจากนี้จะทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ยังไม่ได้ลงความเห็นว่าจะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ ต้องดูตามข้อกฏหมายอีกครั้ง
เปิดใจภรรยาเบอร์ 1 “ไอ้โบ้” แฉถูกล่ามโซ่จับขังห้อง-กล้อนผม-ทำร้ายร่วมปี ทนไม่ไหวยอมแก้ผ้าหนีออกจากบ้าน ปลอมตัวเป็นคนงานในไร่หนีตาย เชื่อยังมีเหยื่อผู้หญิงอีกหลายคน
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ ที่ที่ทำการเพจสายไหมต้องรอด ได้มีหญิงสาวผู้เสียหายที่ถูกนายโบ้ทำร้ายร่างกายอีก 1 ราย ชื่อ นางสาวกุ้ง (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของนายโบ้ที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ได้เดินทางมาร้องเรียนกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เนื่องจากเธอก็เคยถูกนายโบ้ ซ้อมปางตายถึงขึ้นต้องวิ่งแก้ผ้าหลบหนีออกมาจากคอนโดฯย่านประชาชื่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา
ซึ่งหลังแจ้งความคดีไม่มีความคืบหน้า จึงต้องหลบหนีไปอยู่บ้านญาติในป่าในภูเขาที่ต่างจังหวัด เพราะกลัวความไม่ปลอดภัย ในวันนี้เธอเห็นข่าวการเสียชีวิตของนางสาวแพรวแฟนสาวคนล่าสุดของนายโบ้ แล้วจึงได้ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองบ้างและขอให้ตำรวจลงโทษนายโบ้ให้ถึงที่สุด
จากการสอบถามนาวสาวกุ้ง เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตนเองรู้จักกับนายโบ้ผ่านแอปพลิเคชั่น TikTok รู้จักกันตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม ปี 66 โดยนายโบ้ทักแชตมาจีบ ด้วยความที่นายโบ้ลักษณะภายนอกดูดี จึงได้ตกลงคบหากัน จากนั้นผ่านไปประมาณ 2 เดือน นายโบ้ได้เอ่ยปากขอให้เดินทางไปจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากัน นายโบ้อ้างว่า รักตนเองมาก อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป และอยากสร้างครอบครัวด้วยกัน
แต่หลังจากที่ตนเองจดทะเบียนสมรสกับนายโบ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 3 วันหลังจากจดทะเบียนสมรส นายโบ้ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป และเริ่มเป็นคนโมโหร้าย เริ่มทำร้ายทุบตีตนเองบ่อยครั้งขึ้น พร้อมกับสั่งให้ตนเองเลิกทำอาชีพแม่ค้าขายของออนไลน์ และให้ขนข้าวของไปอยู่กับนายโบ้ที่บ้านพักหลังเดียวกันกับที่นางสาวแพรวเสียชีวิต
หลังจากที่ตนเองเข้าไปพักอาศัยอยู่กับนายโบ้ภายในบ้านของนายโบ้หลังดังกล่าว นายโบ้ก็เริ่มตบ ต่อย เตะ กระทืบตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาตนเองพูดอะไรถูกใจ นายโบ้เล่นพนันออนไลน์คาบาร่าเสีย นายโบ้ก็จะทำร้ายตนเองทันที บางวันตนเองถูกนายโบ้บีบคอจนเกือบขาดอากาศหายใจตาย ซึ่งหากตนเองร้องขอความช่วยเหลือนายโบ้ก็จะข่มขู่จะฆ่าให้ตาย และจะตามไปฆ่าครอบครัวของเธอ ทำให้ตัวเองไม่กล้าส่งเสียงร้องให้ใครได้ยิน เพราะกลัวครอบครัวจะเดือดร้อน
กระทั่งช่วงเดือนเมษายน ได้มีปัญหากับครอบครัว จึงได้ย้ายตนเองไปเช่าคอนโดอยู่ด้วยกันย่านฯ ประชาชื่น
โดยให้ตนเองเป็นคนออกค่าใช้จ่ายค่าเช่าห้องให้ทั้งหมด และเมื่อย้ายไปอยู่คอนโดฯ นายโบ้ก็ลงมือทำร้ายร่างกายตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตนเองทนไม่ไหวและได้พยายามหนีออกจากคอนโดฯ ถึง 4 ครั้ง ตลอด 5-6 เดือนที่อยู่ด้วยกัน
ครั้งที่ 1 ต้นเดือนเมษายน ตนเองได้รอจังหวะนายโบ้นอนหลับหนีจากคอนโดฯ กลับไปอยู่ที่บ้านของญาติใน อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี แต่ครั้งแรก นายโบ้ได้ขับรถ มาหาถึงบ้านญาติ พร้อมกับง้อขอคืนดี และสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายตนเองอีก ตนเองด้วยความเชื่อใจและคิดว่าโบ้จะกลับตัวกลับใจ จึงใจอ่อนยอมกลับไปอยู่กับโบ้อีกครั้ง ไปอยู่ที่คอนโดฯนายโบ้ นายโบ้ก็ได้ซ้อมทำร้ายตนเองหนักขึ้นอีก และโมโหที่ตนเองพยายามหนีออกจากคอนโดฯไป
ครั้งที่ 2 ปลายเดือนเมษายน ตนเองได้หนีออกจากคอนโดฯ นายโบ้อีกครั้ง และกลับไปบ้านญาติของตนเองที่จังหวัดลพบุรีเช่นเดิม แต่นายโบ้ก็ได้เดินทางมาตามกลับ แต่ครั้งนี้นายโบ้ได้ฉุดกระชากลากตัวเองขึ้นรถกลับ และขู่ว่า หากไม่กลับครอบครัวจะเดือดร้อน ตนเองจึงยอมทำตาม
ครั้งที่ 3 ช่วงเดือนพฤษภาคม ตนเองได้หนีกลับบ้านอีกครั้ง โดยทิ้งข้าวของทุกอย่าง และไปสมัครเป็น รปภ. อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี ซึ่งระหว่างเดินทางกลับจากทำงาน นายโบ้ ได้ตามมาพบระหว่างทางกลับบ้าน พร้อมกับ ขับกระบะปาดหน้า วินมอเตอร์ไซค์ที่ตนเองซ้อนท้ายกลับบ้านให้หยุดรถ
ก่อนที่นายโบ้ จะลงจากรถและใช้อาวุธปืนจี้หัวตัวเองข่มขู่ให้ขึ้นรถ พร้อมกับอุ้มตนเองขึ้นรถกระบะทันที โดยในวันนั้นนายบู้เดินทางมากับพวกที่นั่งอยู่ในรถอีกประมาณ 4-5 คน ทำให้ตนเองไม่กล้าขัดขืน
และเมื่อกลับมาถึงคอนโดฯ ครั้งนี้นายโบ้ โกรธหนักมาก และได้นำกรรไกรมากล้อนผมตนเองทิ้งจนสั้น นายโบ้อ้างว่า ตนเองจะได้ไม่สวย และไม่มีผู้ชายคนอื่นอีก ยังไม่พอนายโบ้ยังนำโซ่มาล่ามขาตนเอง กับขานายโบ้ให้อยู่ติดกันตลอด เพื่อไม่ให้ตนเองหลบหนีไปไหนอีกด้วย
เวลานั้นตัวเองทรมานมากเพราะขาถูกล่ามโซ่ติดกับขานายโบ้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าตนเองจะนอนหรือเข้าห้องน้ำก็จะมีโซ่ติดอยู่ที่ขาตลอด หากตนเองจะเข้าห้องน้ำ นายโบ้ก็จะให้ตัวเองเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ ให้อยู่ในสายตาตลอด แม้ว่าตนเองจะอาบน้ำหรือทำธุระส่วนตัวก็ตาม กระดิกไปไหนไม่ได้
ซึ่งครั้งนั้นตนเองทนไม่ไหวแล้ว จึงได้พูดกับนายโบ้ตรงๆว่า “โบ้เหนื่อยไหม ถ้าเหนื่อยก็ปล่อยตนเองไปได้นะ” ทำให้นายโบ้โกรธมาก และได้ใช้มือบีบคอทำร้ายตนเองจนสลบ เมื่อตนเองตื่นขึ้นมาก็ถูกทำร้ายซ้ำๆวนๆไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 6 โมงเย็นยัน 4 ทุ่ม
กระทั่ง 18 มิถุนายน 66 ตนเองทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วหากทนอยู่กับนายต่อตนเองคงจะถูกฆ่าตายแน่ จึงได้อาศัยจังหวะที่นายโบ้ได้ถอดโซ่ให้ตนเองเข้าห้องน้ำ ซึ่งนายโบ้กำลังจะล่ามโซ่ตนเองกับโถ่ส้วมอีกรอบ ตนเองจึงได้วิ่งหนีออกจากห้อง ทั้งๆที่ยังไม่ได้ใส่กางเกง และวิ่งไปเคาะห้องคนอื่นช่วยเหลือ แต่นายโบ้ได้ตามมาอุ้มและกระชากเสื้อตนเองจนหลุด เหลือแต่ ชุดชั้นในและกางเกงใน ตนเองพยายามดิ้นจนหลุดและหนีออกจากคอนโดฯ ทันที
ซึ่งหลังจากหนีรอด ตนเองได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลเพราะถูกทำร้ายช้ำไปทั้งตัว เมื่อหายดีจึงได้หนีไปอยู่กับบ้านลุงอีกคนหนึ่งในจังหวัดลพบุรี โดยปิดโทรศัพท์มือถือ ตัดขาดการติดต่อทั้งหมด หนีไปใช้ชีวิตอยู่ภายในไร่มันสำปะหลัง ติดภูเขา สภาพชีวิตตอนนั้นแย่มาก จากตนเองเป็นคนสวยไว้ผมยาว มีอาชีพเป็นแม่ค้าออนไลน์ ต้องกลับกลายมาเป็นชาวสวน ปลอมตัวใส่หมวกให้เหมือนผู้ชายเพื่อไม่ให้คนจำได้ รับจ้างช่วยญาติขุดมันสำปะหลังไปขาย
ต่อมาเธอยังได้หนีไปบวชต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อรักษาเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้น ซึ่งยังมีคลิปที่เธอหนีนายโบ้ ไปบวชเป็นชี ส่งให้ทีมข่าวดูอีกด้วย
และในวันนี้เมื่อตนเองเห็นข่าวการเสียชีวิตของนางสาวแพรวจึงรู้สึกสงสารและอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง อยากให้นายโบ้ยอมจดทะเบียนหย่าให้กับตนเองเพื่อให้ตนเองได้ไปเริ่มชีวิตใหม่ เพราะตนเองไม่อยากทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว
เพจสายไหมต้องรอด พาเหยื่อสาว “ไอ้โบ้” อีกราย ติดตามคืบหน้าคดี หลังแจ้งความ 6 เดือนคดีไม่คืบ ผกก.ประชาชื่น โต้ไม่ได้ล่าช้า สัญญา 2 วันจะจัดการคดีเสร็จ
ต่อมาในช่วงบ่าย นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ได้พาผู้เสียหายเดินทางไปยัง สน.ประชาชื่น เพื่อเดินทางเข้าพบพันตำรวจเอกสัญญา อุบลวิรัตนา ผู้กำกับการ สน.ประชาชื่น เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดี ก่อนจะมีการเดินทางขึ้นไปพูดคุยบริเวณชั้น 3 ของโรงพัก
ต่อมา ผู้กำกับฯ สน.ประชาชื่น ได้เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุและรับแจ้งความเมื่อ 18 มิถุนายน 66 หรือ 6 เดือนที่แล้ว ทางตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ และไม่ได้ล่าช้า เพราะหลังจากทางผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ตำรวจก็ได้สอบปากคำทันที และพาไปตรวจร่างกาย ซึ่งผลตรวจได้ออกมาแล้ว และตำรวจอยู่ระหว่างการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ก่อเหตุ ซึ่งคาดว่าอีกไม่เกิน 2 วันก็จะสามารถจัดการเรื่องคดีให้เสร็จได้
ส่วนผู้ก่อเหตุที่ตอนนี้ยังถูกควบคุมตัวไว้ที่ สภ.บางศรีเมือง จังหวัดนนทบุรี หากตำรวจอายัดตัวและคัดค้านการประกันตัว ก็จะไปแจ้งข้อกล่าวหาที่เรือนจำต่อไป
สำหรับตัวของผู้เสียหายหลังจากเข้าพบผู้กำกับการ สน.ประชาชื่น ทางพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีก็ได้ขอสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง