จากกรณีวันที่ 6 ม.ค. 2567 เจ้าที่ตำรวจ สภ. บางบัวทอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย เข้าตรวจสอบภายในบ้าน ย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ว่าพบศพเด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกนำร่างยัดอยู่ในตู้เย็นภายในบ้านหลังดังกล่าว ก่อนที่ต่อมากองพิสูจน์หลักฐานและแพทย์นิติเวชจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จะเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและชันสูตรศพของเด็กที่เสียชีวิต
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ชั้นล่างห้องด้านในสุดพบว่า ประตูห้องถูกล็อกอยู่จึงต้องงัดประตูออก พบตู้เย็นขนาด 6 คิว สีฟ้า ด้านในตู้เย็นพบเสื้อผ้าปิดทับถุงพลาสติก ภายในถุงพบเด็กชาย สภาพเขียว เริ่มเน่า มีกลิ่น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรอแพทย์เพื่อเปิดนำศพเด็กออกมา จึงได้กั้นที่เกิดเหตุ เบื้องต้นทราบชื่อคนที่อยู่กับเด็กก่อนเสียชีวิตคือ น.ส.มาริสา หรือ ก้อย อายุ 25 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก
สอบถามพบว่า ภายในบ้านมีคนอาศัยอยู่ทั้งหมด 5 คน คือ มีนายแบงค์ ปู่กับย่าของแบงค์ ก้อย และเด็กชาย 2 ขวบ ซึ่งเป็นเด็กที่ขอมาเลี้ยง เป็นลูกของเพื่อนายแบงค์ เบื้องต้น คุณย่าเป็นคนโทรแจ้งตำรวจเพราะหาเด็กไม่เจอ ประกอบกับอยู่ในบ้านได้กลิ่นเหม็น และพบว่าภายในห้องนอนของแบงค์ถูกล็อก ซึ่งแบงค์กับก้อยไม่ได้อยู่ในบ้าน
จากการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ พบว่าร่างเด็กถูกห่อด้วยผ้าขนหนู ตามด้วยผ้าปูที่นอนอีกชั้น ถูกมัดด้วยสายสิญจน์ตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า ยัดอยู่ในกระเป๋าผ้าอีกทีหนึ่ง สภาพศพขึ้นอืดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน พบรอยช้ำตามตัวและรอยถูกกัดที่น่องขาทั้งสองข้าง และท่อนแขนซ้าย 1 แห่ง แพทย์มอบร่างให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อชันสูตรอีกครั้ง จากนั้นได้รวบรวมหลักฐานภายในบ้านเพื่อส่งตรวจสอบหาลายนิ้วมือและดีเอ็นเอ เพื่อใช้ประกอบสำนวนคดี
ล่าสุดทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดก่อนเกิดเหตุ คลิป 1 ภาพจากกล้องวงจรปิดบ้านฝั่งตรงข้ามหลังเกิดเหตุ จะเห็นช่วงเวลาประมาณ 05.22 น. ห้องนอนของปู่และย่าของผู้ก่อเหตุชั้น 2 ถูกเปิดขึ้น ส่วนสองผัวเมียที่ก่อเหตุ นอนอยู่ห้องชั้นล่างยังไม่มีความผิดปกติ
ต่อมาเวลา 06.55 น. โดยจะเห็นสองผัวเมียได้ขี่รถมอไซค์สวมเสื้อสีดำกลับเข้ามาที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา ทั้งสองไม่ได้นอนบ้านหลังดังกล่าว และเพิ่งขับรถเข้ามาภายในบ้าน แต่เมื่อเข้ามาในบ้านทั้งสองคนได้กลิ่นศพที่ลอยคละคลุ้งภายในห้องจึงได้ หาวิธีทำลายหลักฐาน และเริ่มห่อศพของเด็กยัดตู้เย็น
กระทั่งเวลา 07.32 น.จะเห็นนางสาวก้อยใส่เสื้อสีดำ เดินเปิดประตูออกจากบ้าน และทิ้งอะไรบางอย่างลงถังขยะหน้าบ้าน ก่อนกลับเข้าไปในบ้านต่อ และเวลา 07.46 น. จะเห็นนางสาวก้อย ได้เปลี่ยนเสื้อจากสีดำเป็นสีขาว พร้อมถือถุงดำใส่อะไรบางอย่างออกมา ส่วนนายแบงค์แฟนหนุ่ม เดินถือถุงพลาสติกตามออกมา และออกจากบ้าน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยมีท่าทีลุกลี้ลุกลน
จากนั้น 07.49 น. จะเห็นทั้งสองขี่รถมอเตอร์ไซค์ ตะกร้าหน้ารถมีถุงพลาสติกวางอยู่ ส่วนนางสาวก้อยอุ้มถุงดำใส่อะไรบางอย่าง ขี่ออกจากบ้าน คาดว่าทั้งสองคนได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปใส่บาตรและหลบหนี ซึ่งคลิปจากกล้องอีกตัวจะเห็นทั้งสองคนขี่ผ่านซอยบ้านของชาวบ้าน โดยนายแบงค์ยกมือปิดบังหน้าระหว่างทางเกือบตลอดเวลา
กระทั่งเวลา 08.06 น. จะเห็นรถกู้ภัยขับเข้ามาในซอยบ้านหลังเกิดเหตุ ต่อมาเห็นรถกู้ภัยขับมาจอดที่หน้าบ้านของเพื่อนบ้านติดกับบ้านหลังเกิดเหตุ จากนั้นเวลา 09.12 น. หลังจากที่คนในบ้านโทรศัพท์แจ้งตำรวจว่าพบศพเด็กในตู้เย็น เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังนางสาวก้อยให้กลับมาบ้าน เพื่อสอบถามความจริง โดยจะเห็นนางสาวก้อยได้นั่งวิน จยย. มาจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ โดยนางสาวก้อยยกมือไหว้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มายืนรอหน้าบ้าน ก่อนที่ตำรวจจะเชิญตัวนางสาวก้อยเข้าไปในบ้าน และเชิญตัวไปยังโรงพักเพื่อสอบสวน
ขณะที่ น.ส.ก้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวไปสอบปากคำที่ สภ.บางบัวทอง ส่วนตัวนายแบงค์ สามี น.ส.ก้อย ยังไม่พบตัว โดย น.ส.ก้อย ให้การเบื้องต้นว่า เด็กกินข้าวเหนียวเข้าไปเกิดติดคอเสียชีวิต เพราะพบในมือและปากของน้องมีก้อนข้าวเหนียวขนาดใหญ่ ประกอบกับเห็นมดขึ้นตาเด็กก็รู้ว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว ตกใจทำอะไรไม่ถูกจึงรอนายแบงค์ สามีกลับมา หลังจากนั้นนายแบงค์กลับมาได้ห่อร่างเด็กยัดถุงผ้า และมัดสายสิญจน์ ใส่เข้าไปในตู้เย็น ซึ่ง น.ส.ก้อย แจ้งว่านายแบงค์เป็นคนนำศพยัดใส่ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 2567
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายแบงค์ ได้นั่งรถแท็กซี่เดินทางมายัง สภ.บางบัวทอง เพื่อขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลังจากที่นางสาวก้อยเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนไปก่อนหน้านี้ ได้โทรศัพท์ไปเจรจาเพื่อขอให้นายแบงค์เข้ามอบตัว ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุม โดยเจ้าหน้าที่ได้พาตัวนายแบงค์เดินเข้าประตูข้างหลังห้องสอบสวน ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายแบงค์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นผู้ลงมือทำให้น้องนายเด็กชายวัย 2 ขวบ ถึงแก่ความตายหรือไม่ แต่นายแบงค์ปฏิเสธที่ตอบคำถามสื่อมวลชน
ขณะที่นายนพรัตน์ อายุ 30 ปี พ่อของเด็กที่เสียชีวิต เผยว่า ตนเองเป็นเพื่อนกับนายแบงค์และนางสาวก้อยมาหลายปีแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ตัดสินใจให้ทั้งคู่ดูแลลูกชาย เพราะตนเองต้องทำงานเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวจึงดูแลเองไม่ได้ ซึ่งรับไปอยู่ด้วยประมาณสองเดือน และที่ผ่านมาตนเองส่งเงินให้ค่าเลี้ยงดูทุกวัน ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้เลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย หรือทิ้งลูกไว้ตามกรงสุนัขจนมีเห็บขึ้นหัวตามที่เป็นข่าว ยืนยันเลี้ยงอยู่ในห้องนอนตลอด
โดยส่วนตัวตนเองสนิทกับทั้งคู่ ซึ่งเท่าที่ทราบทั้งคู่เป็นคนรักเด็ก ตนเองได้เจอกับลูกชายครั้งล่าสุดคือช่วงสิ้นเดือนธันวาคมก่อนปีใหม่ ตอนนั้นไม่มีบาดแผลทำร้ายตามร่างกาย และตลอดการเลี้ยงดูนายแบงค์ก็มีการส่งภาพลูกชายให้ดูตลอด
แต่ช่วงหลังปีใหม่ตนขอไปเยี่ยมลูกชาย ทั้งคู่ปฏิเสธไม่ให้ไปหาลูก โดยอ้างว่าพาลูกชายไปอยู่ที่บ้านของแม่อีกหลังหนึ่ง อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา นายแบงค์แช็ตบอกว่าจะพาลูกชายไปเที่ยวที่เกาะล้าน ซึ่งตนเองก็ได้โอนเงินให้อีก 300 บาท
ทั้งนี้นายนพรัตน์ ยืนยันไม่เชื่อว่าสาเหตุที่ลูกเสียชีวิตเกิดจากข้าวเหนียวติดคอ เพราะลูกชายกินข้าวเหนียวได้ มั่นใจว่านายแบงค์น่าจะฆ่าลูกตนเอง เพราะตนรู้จักนิสัยของนายแบงค์ดี เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน หัวรุนแรง อีกทั้งลูกชายตายตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. แต่ทำไมเพิ่งมาบอกวันนี้ และตนเองก็ทราบจากในข่าวด้วย ทั้งคู่ไม่ได้บอกกับตน
นายนพรัตน์ ยอมรับว่า ตนเองตัดสินใจผิดที่ให้ลูกชายไปอยู่กับนายแบงค์และนางสาวก้อย ตอนนี้คิดถึงลูกชายอย่างมาก และอยากบอกกับลูกว่ารักเขามาก ส่วนนายแบงค์ตนเองก็อยากให้รับสารภาพ หากผิดก็ยอมรับผิดแล้วพูดความจริง ส่วนแม่แท้ ๆ ของลูกหลังเลิกกันตนเองไม่ได้ติดต่อเพราะเขามีครอบครัวใหม่แล้ว แต่ส่วนตัวก็อยากให้อดีตภรรยามาร่วมงานลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย
ขณะที่ พล.ต.ต.สมปรารถนา แผ่นผา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี เปิดเผยหลังเข้าสอบปากคำนายแบงค์ และนางสาวก้อย ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของเด็กชายวัย 2 ขวบว่า ผู้ต้องหาให้การว่าอ้างว่า การเสียชีวิตเกิดจากอุบัติเหตุสำลักข้าวเหนียว ที่คุณปู่เป็นคนป้อน และยอมรับว่าสาเหตุที่ไม่กล้าแจ้งความหรือนำตัวไปส่งโรงพยาบาลทันทีที่เกิดเรื่อง เนื่องจากกลัวความผิด และไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย
นอกจากนี้ จากคำให้การของผู้ต้องหายังอ้างว่า เด็กเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม และปล่อยร่างทิ้งไว้จนกระทั่งมีกลิ่น จึงนำสายสิญจน์ที่หาได้ในบ้านมามัดร่าง ก่อนนำเข้าไปยัดไว้ในตู้เย็น เมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา พร้อมยอมรับว่า ผู้ต้องหาเคยลงมือทำร้ายน้องนายเนื่องจากดื้อและไม่เชื่อฟัง
อย่างไรก็ตาม จากคำให้การทั้งหมด ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากต้องรอผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์ จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์รังสิต เพื่อยืนยันว่าในกระเพาะอาหารของน้องนายมีข้าวเหนียวหรือไม่ แต่เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ในข้อหาไม่แจ้งการเสียชีวิตและปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ