จากกรณีพบศพน้องนาย วัย 2 ขวบ เสียชีวิตถูกห่อผ้ายัดร่างไว้ในตู้เย็นภายในห้องนอนของนายหาญณรงค์ หรือแบงค์ และ น.ส.มาริสา หรือก้อย สองสามีภรรยาที่รับเด็กมาดูแลนั้น
วันนี้ หลังรับร่างน้องนายจากสถาบันนิติเวช นายนพรัตน์ พ่อแท้ๆ ของน้องนาย ได้นำร่างของน้องนายมาประกอบพิธีทางศาสนาที่ศาลา 4 วัดไผ่เหลือง ตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งทันทีที่นำโลงบรรจุร่างเข้ามาในศาลา เจ้าหน้าที่กู้ภัย และเพื่อนๆ ก็ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่
เมื่อจัดเตรียมสถานที่เรียบร้อย นายนพรัตน์ พ่อแท้ๆ ก็ได้เข้าไปกอดโลงศพลูก พร้อมกับร้องไห้ และพูดขึ้นมาว่า “อยากได้อะไรบอกป๊านะ” ก่อนจะฟุบหน้าไปที่โลงศพลูกแล้วร้องไห้
จากนั้นเพื่อนจึงเข้าไปปลอบ และบอกให้ออกมา แต่พ่อของน้องนายบอกว่า ให้เพื่อนออกไปก่อน ตนอยากอยู่กับลูก หลังจากนั้นก็ฟุบกอดโลงศพลูกอยู่อีก 10 นาที ก่อนจะออกมาจากศาลา
นายนพรัตน์ เปิดเผยสั้นๆว่า ลูกชายของตนไปอยู่กับนายแบงก์ได้ประมาณ 3 เดือน ตนเองไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพื่อนของพี่ชาย ซึ่งตอนที่มาขอลูกไปเลี้ยง เขาบอกว่าสงสารเด็ก อยากขอไปเลี้ยง ตนจึงให้ไป ปกติดูเหมือนเป็นคนรักเด็ก
ส่วนผลชันสูตรขาดอากาศหายใจ ตนเองคาใจว่าเด็กจะขาดอากาศหายใจได้ยังไงถ้าไม่ไปทำร้ายเขา เพราะหากเป็นข้าวเหนียวติดคอแล้วตาย ตนเองไม่เชื่อ ถ้ามีโอกาสถามได้ อยากถามเจ้าตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะที่ว่า ทำไมไม่บอกตั้งแต่วันที่น้องเสียชีวิต ทำไมต้องมาบอกตอนน้องเสียไปแล้ว ซึ่งผ่านมาหลายวันแล้ว ตนรับไม่ได้
สาเหตุการเสียชีวิต “น้องนาย” พบว่าเกิดจากการขาดอากาศหายใจ โดยพบเมล็ดข้าวเหนียวติดที่หลอดลมส่วนบน ส่วนร่องรอย บาดแผลที่ขาของเด็ก เป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต
ตำรวจปล่อยตัว “ก้อย” จุดธูปกราบศพลูกชาย หลังผลชันสูตรชี้ข้าวติดคอดับ รอลุ้นแจ้งข้อหาอำพรางศพหรือไม่ - พ่อเด็ก-ญาติ แค้นปรี่เข้าด่า
บรรยากาศที่วัดไผ่เหลือง ทันทีที่ตำรวจนำตัวทุกคนมาส่งที่วัด ทั้งหมดได้เดินเข้าไปที่ศาลาสวดศพของน้องนายเพื่อฟังพระสวดทันที โดยไม่ได้คำถามใดๆ กับนักข่าว
นางสาวก้อย ใช้เวลาในการนั่งฟังพระสวดประมาณ 30 นาที จากนั้นนางสาวก้อยได้เดินออกจากศาลา โดยมีญาติและพ่อของน้องนาย ปรี่เข้าไปจะต่อว่า จากนั้นนางสาวก้อย ได้จุดธูปหนึ่งดอก พร้อมกับยกมือไหว้ขอขมาศพอยู่บริเวณด้านนอกศาลา และเดินทางกลับทันที
ซึ่งระหว่างที่นางสาวก้อยและปู่ย่ากำลังเดินทางกลับ พ่อของน้องนาย รวมถึงญาติ ได้เดินเข้าไปจะสอบถามเหตุผลที่นำศพของน้องนายยัดตู้เย็นเพื่ออะไร พร้อมกับต่อว่านางสาวก้อยไม่สำนึกถึงแม้จะมาฟังพระสวดก็ตาม
ทีมข่าวพยายามสอบถามนางสาวก้อยถึงเหตุผลที่นำลูกตัวเองยัดไว้ในตู้เย็นเพื่ออำพรางศพ ซึ่งเจ้าตัวปิดปากเงียบไม่ยอมตอบคำถามใดๆ กับทีมข่าว พร้อมเดินขึ้นรถไปทันที
ล่าสุดเมื่อ 6 โมงเย็น ที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวน สภ. บางบัวทอง หลังจากเรียกตัวปู่ย่าและนางสาวก้อยมาสอบสวนตั้งแต่ช่วงเช้า ได้ปล่อยตัวทุกคน ยกเว้นนายแบงค์ เพื่อไปร่วมพิธีศพของน้องนายที่วัดไผ่เหลืองแล้ว โดยตำรวจได้พาทุกคนขึ้นรถตู้ เพื่อไปส่งยังวัด โดยแจ้งกับนางสาวก้อยว่าในวันพรุ่งนี้ตำรวจจะเรียกมาสอบปากคำอีกครั้งในวันเวลา 8 โมงเช้า
ผกก.บางบัวทอง ยันรู้ผลชันสูตรศพเด็ก 2 ขวบวันนี้ ยังไม่แจ้งข้อหาเพิ่มแบงค์-ก้อย ก่อนนำตัวฝากขังพรุ่งนี้ ด้านญาติเตรียมรับศพ -ทำพิธีเชิญวิญญาณบ่ายนี้
โดยพันตำรวจเอกพฤฒ จำรูญศาสน์ ผู้กำกับการ สภ.บางบัวทอง เปิดเผยความคืบหน้าคดีพบศพเด็ก 2 ขวบ เสียชีวิตถูกอำพรางในตู้เย็นที่บ้านพักย่านบางบัวทองว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหานายแบงค์ 3 ข้อหา ได้แก่ ไม่แจ้งการตาย ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ และเสพยาเสพติด โดยยังอยู่ระหว่างควบคุมตัวภายในห้องควบคุมผู้ต้องหา และจะนำส่งฝากขังในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น. ส่วนนางสาวก้อย ถูกแจ้งข้อหา 2 ข้อหา คือ ไม่แจ้งการตาย ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ ซึ่งทางตำรวจได้ปล่อยตัวไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ เนื่องจากเจ้าตัวเข้ามอบตัวกับทางตำรวจ และอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ 6 เดือน
โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมายังไม่พบว่า มีญาติของทั้ง 2 คนมาเยี่ยม
วันที่ 7 ม.ค. เวลา 16.00 น. ที่สภ.บางบัวทอง พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี เปิดเผยความคืบหน้าหลังประชุมคดีว่า ผลชันสูตรศพอย่างไม่เป็นทางการ เบื้องต้นพบว่ามีเศษอาหารติดภายในลำคอ ไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ขณะนี้มีผู้ต้องหาเบื้องต้น 2 คนคือ นายแบงค์ และน.ส.ก้อย พ่อแม่บุญธรรม ในข้อหาซ่อนเร้นอำพรางศพ และไม่แจ้งเหตุการณ์ตาย นอกจากนี้นายแบงค์ยังพบว่ามีสารเสพติดในร่างกายด้วย ส่วนนางสาวกิ๊ก (น้องสาวนายแบงค์) ตอนนี้ยังสอบเป็นพยานแต่จะแจ้งข้อหาเช่นเดียวกัน เพราะสอบปากแล้วพบว่ารู้เห็นการตายตั้งแต่กลางดึกวันที่ 2 ม.ค. แต่กลับแจ้งเหตุวันที่ 6 ม.ค.
ส่วนสาเหตุการนำร่างน้องนายใส่ตู้เย็น โดยอ้างว่า ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก รวมถึงร่างกายของน้องนายมีบาดแผลร่องรอยจากการถูกกัด จึงกลัวว่าจะเป็นสาเหตุที่ตำรวจดำเนินคดี เพราะก่อนหน้าที่น้องนายจะเสียชีวิตได้หยอกล้อกัน โดยน.ส.ก้อย ใช้ปากกัดที่แขนของน้องนาย จนต่อมาทราบว่า น้องนายเสียชีวิต จึงกลัวว่าจะโดนความผิดเกี่ยวกับการกัดแขนจนทำให้น้องนายเสียชีวิต จึงเลือกที่จะนำศพ ไว้ในห้องนอนและเปิดแอร์ 18 องศา ตั้งแต่วันที่ 3-5 ม.ค. จนต่อมาวันที่ 6 ม.ค. เริ่มส่งกลิ่นเหม็นจึงได้นำเข้าไปใส่ในตู้เย็น และยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับศพ ก่อนที่นางยุพา (ย่า) มาพบเจอเสียก่อน
ส่วนปู่อู๊ดที่เป็นคนป้อนข้าวน้องนายนั้น เบื้องต้นไม่มีความเกี่ยวข้อง และจะไม่ถูกดำเนินคดีเนื่องจากเป็นผู้พิการทางสายตา และมีพยานว่าปู่รักและเลี้ยงดูน้องนาย
ส่วนกรณีที่ทั้งพ่อแท้ ๆ และปู่ยังติดใจสาเหตุการตายอยู่นั้น เผยว่าเราไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ยังคงสืบหาข้อเท็จจริงอยู่ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุเสียชีวิต ยังต้องรอผลชันสูตรอย่างเป็นทางการในวันพุธนี้ รวมถึงยังต้องสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนการให้การตอนนี้ทั้งคู่ให้การเป็นประโยชน์ในบางอย่าง และมีบางอย่างที่ปกปิดไว้ ต้องสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายนพรัตน์ พ่อของน้องนาย พร้อมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ได้นิมนต์พระสงฆ์ 1 รูป พร้อมกับนำรูปภาพของน้องนาย ที่บ้านหลังเกิดเหตุ และได้ขออนุญาตนายสมบุญ หรือ "ปู่อู๊ด" ปู่ของนายแบงค์ ในการเข้าไปทำพิธีเชิญดวงวิญญาณ
นายนพรัตน์ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้เปิดประตูห้องนอนเพื่อเปิดประตูตู้เย็น และนำรูปภาพน้องนายวางไว้ในตู้เย็น ก่อนจะเริ่มสวดอัญเชิญดวงวิญญาณ และบังสุกุล จากนั้นพระสงฆ์ได้ปะพรมน้ำมนต์โดยรอบบริเวณบ้าน ก่อนที่พ่อของนายจะออกจากบ้านหลังเกิดเหตุ เพื่อเดินทางไปรับศพน้องนายที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
โดยต่อมา คุณปู่ได้พูดคุยกับพ่อของน้องนาย ปู่อู๊ดบอกกับพ่อน้องนายว่า นายแบงค์จะทำร้ายน้องนายเป็นประจำทุกวัน บางครั้งก็ใช้ไม้บรรทัดเหล็กตี บางครั้งก็ใช้มือ ตนเองพยายามห้ามและเตือนนายแบงค์ตลอด แต่ก็ถูกนายแบงค์ด่ากลับมาตลอดว่า “ไม่ใช่เรื่องของพ่ออย่ามายุ่ง”
จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งพูดคุยกับ ปู่อู๊ด ส่วนตัว โดยปู่อู๊ดเปิดใจกับทีมข่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่น้องนายมาอยู่ที่บ้านของตนเอง น้องนายชอบกินข้าวเหนียวมาก เป็นเด็กน่ารักเลี้ยงง่าย
ส่วนในวันที่ 2 มกราคม วันเกิดเหตุ ช่วงเวลา 8-9 โมงเช้า น้องนายได้หยิบกระติบข้าวเหนียวใหญ่มาวางไว้ที่ตักตนเอง ตนเองจึงใช้มือหยิบมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ และป้อนให้หลาน โดยยืนยันว่า ได้ปั้นข้าวเหนียวขนาดไม่เกินนิ้วหัวแม่มือของตนเองให้น้องนายกิน ปั้นข้าวเหนียวทั้งหมด 2 คำด้วยกัน โดยก่อนจะป้อนให้น้องนาย ตนเองยังบอกหลานด้วยว่า “ก่อนกินต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนนะลูก” จากนั้นตนเองก็ได้ยินเสียงว่า น้องนายกินข้าวเหนียวตามปกติ ไม่มีเสียงสำลัก หรือร้องแต่อย่างใด
จากนั้นน้องนายได้ไปหยิบกล้วย 1 ลูก มาให้ตนเองอีก ตนเองจึงปอกกล้วยและแบ่งให้น้องนายกินครึ่งลูก ตนเองกินอีกครึ่งลูก จากนั้นก็ได้ยินว่า น้องนายได้วิ่งเล่นในบ้านตามปกติ ซึ่งตนเองยืนยันว่า หลานไม่ได้กินข้าวเหนียวติดคอตายเพราะตนเอง เเละช่วงเย็นวันเดียวกัน น้องนายยังวิ่งมาเล่นใกล้ๆ ตนเองอยู่เลย
กระทั่งช่วงค่ำ เวลา 1-2 ทุ่ม วันที่ 2 มกราคม ตนเองได้ยินเสียงนายแบงค์และนางสาวก้อยขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาภายในบ้าน จากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็ได้ขี่รถออกไปไหนไม่รู้
จนเมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 มกราคม ภรรยาของตนเองเดินไปเห็นว่า กระติบข้าวเหนียวอีก 1 กระติบถูกวางอยู่ในห้องของนายแบงค์ ภรรยาตนเองจึงหยิบมาวางไว้ข้างกระติบข้าวเหนียวของตนเอง ซึ่งตนเองมองว่าสาเหตุการเสียชีวิตของน้องนาย น่าจะเกิดจากนายแบงค์ทำร้ายจนตายมากกว่า
แต่หากเกิดจากข้าวเหนียวติดคอจริงตามผลชันสูตร ก็อาจจะเกิดจากนายแบงค์หรือนางสาวก้อย เป็นผู้ป้อนข้าวเหนียวให้กับน้องนายติดคอจนเสียชีวิตเองมากกว่า เพราะหลังจากช่วง 2 ทุ่มของวันที่ 2 มกราคม หลังจากได้ยินเสียงนายแบงค์และนางสาวก้อยขี่รถมอเตอร์ไซต์ออกจากบ้าน ตนเองก็ไม่เคยได้ยินเสียงหลานชายอีกเลย
ซึ่งตนเองอยากให้ตำรวจ ลงโทษนายแบงค์และนางสาวก้อยให้ถึงที่สุด และยืนยันว่าตนเองมีส่วนรู้เห็นในการนำศพของน้องนายไปซุกซ่อนไว้แช่ในตู้เย็นอย่างแน่นอน และขอให้นายแบงค์และนางสาวก้อยได้รับกรรมกับสิ่งที่ทั้งสองคนทำลงไปด้วย
ช่อง 8 เปิดห้องซ่อนศพ พบประตู-หน้าต่างถูกผ้าปิดทึบ กันกลิ่นรอดผ่านประตู เจอเพิ่มตำราไสยศาสตร์ ข้อความในสมุดบันทึก “รักเมียเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน” บันทึกคติสอนใจ คนเก่ง ต้องอยู่อย่าง “นินจาเต่า”
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้เข้าไปสำรวจภายในห้องที่เกิดเหตุอีกครั้ง ซึ่งจากการสำรวจของทีมข่าวเพิ่มเติมพบว่า นายแบงค์และนางสาวก้อย น่าจะวางแผนซุกซ่อนอำพรางศพอยู่นานพอสมควร เนื่องจากทีมข่าวไปพบว่า นอกจากผ้ายันต์บนตู้เย็นที่ทั้งสองนำมาสะกดวิญญาณเด็กแล้ว ทั้งสองคนยังได้นำผ้าปูที่นอน และผ้าห่มในห้อง มาใช้อุดช่องว่างประตู กระจกห้องหลังนอนหลายจุด เพื่อไม่ให้กลิ่นศพลอยออกไปนอกห้องอีกด้วย
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังไปพบหนังสือตำราไสยศาสตร์ ที่เล่าถึงไสยศาสตร์ มนต์ดำ ของอาถรรพณ์ต้องห้าม ซึ่งหน้าปกของหนังสือ ระบุว่า "เป็นหนังสือเล่มเดียวที่กล้าเปิดเผยสิ่งเร้นลับเรื่องราวไสยเวทย์อันชวนเหลือเชื่อ ที่ตักเดือนแนะนำให้คุณพึงระวังตัวและหลีกหนีให้ไกล"
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือผีอีกจำนวน 2 เล่ม ถูกวางอยู่ภายในบ้านที่เกิดเหตุ เล่นหนึ่งชื่อ "บุกป่าช้าท้าผี" ส่วนอีกหนึ่งเล่ม ชื่อเรื่องว่า "คฤหาสน์ซ่อนศพ" ทั้งหมดถูกวางอยู่ภายในห้องนอนที่เกิดเหตุอีกด้วย
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังไปพบข้อความเขียนอยู่ในกระดาษ ซึ่งคาดว่า เป็นลายมือของนายแบงค์ ได้เขียนคติเตือนใจตัวเองอีกด้วย
ข้อความกระดาษแผ่นที่ 1 ระบุไว้ว่า “คำเตือนใจ อย่าคิดว่าเรานั้นเก่ง เพราะทุกคนนั้นเก่งเหมือนกันทั้งนั้น คนเก่งเหล่านั้นชอบโดนหัก เพราะเราเป็นคนเก่งนั่นไง คนที่เก่งจริงๆ นั้นเค้าจะอยู่ในเงามืด เค้าจะไม่ออกมาแสดงตัวกันหรอก มันไม่มีค่าอะไร อยู่แบบ “นินจาเต่า” ดีกว่า
ส่วนข้อความกระดาษแผ่นที่ 2 ระบุไว้ว่า
“แอบอยู่เงียบๆ ในท่อน้ำทิ้ง แต่ในท่อน้ำทิ้งที่อยู่ไม่ใช่ว่าจะมืดมน เปลี่ยว แต่จะมีเมียที่รักอยู่กับเราในตอนที่เราลำบาก คอยเป็นเพื่อน พี่ น้อง ในยามที่เราไม่มีใคร แฟนผมถึงเค้าจะชอบด่าผม ว่าผมสารพัด ผมไม่คิดจะโกรธเลย กลับรู้ว่า เค้ายังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน”
หมอหมูวิเคราะห์ พบข้าวเหนียวที่หลอดลม น่าจะเกิดการสำลักหลังกินข้าวเหนียวไปแล้วไม่เกิน 1 ชม.
รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ “หมอหมู” อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิเคราะห์การกินนข้าวเหนียวติดคอว่า การพบเมล็ดข้าวเหนียว จำนวน 2 เมล็ดในหลอดลมส่วนบน และอีก 10 กว่าเม็ดในปาก เป็นหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันว่า น้องนาย สำลักข้าวเหนียวจนทำให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต
ซึ่งการสำลักข้าวเหนียวอาจเกิดขึ้นได้ ทั้งที่กำลังรับประทานและรับประทานไปสักพัก หากเกิดขึ้นขณะรับประทานข้าวเหนียว ข้าวเหนียวอาจไปอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ซึ่งทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก การอุดกั้นแม้เพียงเล็กน้อยอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
แต่หากเป็นกรณีเกิดขึ้นภายหลังทานข้าวเหนียวไปซักพัก ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน จากการสำลักอาเจียน โดยปกติแล้วข้าวเหนียวจะใช้เวลาย่อยในกระเพาะอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง ดังนั้นการพบเมล็ดข้าวเหนียวในหลอดลม จึงน่าจะเป็นการสำลักอาเจียนหลังจากรับประทานไปแล้วไม่นาน ไม่น่าเกิน 1 ชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง
สำหรับการสำลักข้าวเหนียวหรือสำลักอาหารในเด็กเกือบทั้งหมดถือเป็นอุบัติเหตุ ส่วนการจะมีเจตนาทำร้ายเด็กเพื่อให้เกิดการสำลักหรือไม่ คงต้องอาศัยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และแนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจในการพิสูจน์เพิ่มเติม