จากกรณี เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.บางแม่นาง ได้รับแจ้งเหตุ มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 2 ราย เหตุเกิดบริเวณ หมู่ที่ 1 ถนนเลียบคลองหลุมลี ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ที่เกิดเหตุอยู่บนถนนเลียบคลองหลุมลี พบศพนางสาวพะเยาว์ อายุ 50 ปี สภาพศพนอนหงายเสียชีวิต ใกล้กันพบศพ นายพายัพ นอนตะแคงเสียชีวิต ห่างไปเล็กน้อยพบปลอกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดตกอยู่ โดยทั้งสองผู้เสียชีวิตเป็นพี่น้องกัน
จากการตรวจสอบพบว่า มือปืนคือ นายพิสิษฐ์ หรือ เต่า เป็นหลานของผู้ตาย และมีเรื่องปัญหาที่ดินที่สะสมมานานหลายปี ก่อนเกิดเหตุ 2 คนพี่น้องกำลังจะตั้งเครื่องสูบน้ำออกจากนา บ้านผู้ก่อเหตุอยู่ข้างหน้าที่เกิดเหตุ คนที่ได้ยินเสียงปืนแจ้งว่ารอบแรก 11 นัด รอบสอง 4 นัด รวม 15 นัดดังสนั่นทุ่งนา ก่อนที่นายเต่าผู้ก่อเหตุจะหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไป
ล่าสุดทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดช่วงเวลายิงใกล้ที่เกิดเหตุ โดยภาพจากกล้องวงจรปิดทั้ง 4 มุม โดยจะได้ยินเสียงปืนรัวประมาณ 12 นัด ช่วงเวลาประมาณ 08.30 น.
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิด หลังจากนายเต่าได้ก่อเหตุยิงสองอาเสียชีวิตแล้ว โดยเจ้าตัวได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ลงหน้าอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนครปฐม แต่ระหว่างทางได้หันหัวรถกลับและติดต่อญาติให้เดินทางมารับตัวเพื่อไปมอบตัวกับกำนัน
จากนั้นกล้องวงจรปิด เวลาประมาณ 8 โมง 48 นาที จะเห็นชายคล้ายนายเต่าขี่รถผ่านไปตามถนน เพื่อไปมอบตัวกับกำนัน
ต่อมาหลังเกิดเหตุเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา กำนันพนม พึ่งสุขแดง หรือ กำนันแวน กำนันตำบลบ้านใหม่ จ.นนทบุรี ได้เดินทางมาพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านเพื่อพา นายพิศิษฐ์ มือยิงซึ่งเป็นหลานของผู้เสียชีวิตเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โรงพักบางแม่นาง
ทีมข่าวพยายามสอบถาม นายพิศิษฐ์ หรือ เต่า ผู้ก่อเหตุ เจ้าตัวได้บอกเหตุผลที่ลงมือยิงทั้งสองศพ โดยบอกว่า เมื่อเช้าวันนี้ระหว่างที่ตนเองออกมายืนหน้าบ้าน ได้เห็นผู้ตายทั้งสองได้มาวิดน้ำ ยืนอยู่ใกล้เครื่องสูบน้ำหน้าบ้าน จากนั้นตนเองได้ยินนางพะเยาว์ ซึ่งเป็นอาได้พูดจาถากถางตนเอง โดยพยายามไล่ให้ตนเองย้ายออกจากบ้านของตนเองให้เร็วที่สุด หลังศาลตัดสินว่าตนเองแพ้คดีไปเมื่อเดือนธันวาคม ซึ่งตัวเองรู้อยู่แล้วว่าต้องย้ายออก และเครียดมากพออยู่แล้ว พอมาเจอคำพูดแบบนั้นจึงทำให้โมโหจนสุดขีด แล้วเดินเข้าไปหยิบปืนภายในบ้านออกมายิงทั้งนายพยัพ และนางพะเยาว์จนเสียชีวิต ตนเองทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และอยากขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากขอโทษครอบครัวผู้ตายทั้งสอง
ที่ผ่านมาครอบครัวตนเองยอมแลกทุกอย่าง ทั้งหาที่ดินแปลงอื่นมาแลก ขอทำทางเข้าไปที่บ้านของผู้ตายทั้งสองคนให้แลกกับไม่ย้ายบ้านออก ขอร้องทุกอย่างเพื่อขอที่ซุกหัวนอนไปแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอม และจะไล่ตนเองออกจากบ้านลูกเดียว ซึ่งวันนี้ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้ข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่บ้านใกล้ที่เกิดเหตุอีกด้วยว่า ชนวนเหตุที่เกิดการแย่งมรดกที่ดินกันเกิดขึ้นนั้น พบว่า อาจเป็นเพราะที่ดินในโซนที่เกิดเหตุ พื้นที่ ม.1 ถนนเลียบคลองหลุมลี ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี นั้น ก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีก่อน ราคาที่ดินเฉลี่ยตกไร่ละ 1 ล้านบาท แต่ช่วงหลังความเจริญได้เข้ามา ประกอบกับอยู่ใกล้กับ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (มอเตอร์เวย์สายใหม่) ทำให้ช่วงหลังมานี้ ที่ดินโซนดังกล่าวราคาพุ่งกระฉูดจากราคาไร่ละ 1 ล้าน พุ่งขึ้นเป็น 3-5 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 17.40 น. ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแม่นาง ได้นำตัวนายพิสิษฐ์ หรือ เต่า (ผู้ต้องหา) มาทำแผนประกอบคำรับสภาพในที่เกิดเหตุ โดยระหว่างทำเพื่อประกอบคำสารภาพนั้น ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจให้นายพิสิษฐ์ จำลองเหตุการณ์ก่อนเกิด โดยจุดที่หนึ่งนั้นเป็นบริเวณม้าหินอ่อนหน้าบ้านซึ่งผู้ต้องหาอ้างว่าตอนนั้นกำลังนั่งกินข้าวอยู่ และจุดที่สองนำตัวผู้ต้องหาเข้าไปภายในห้องนอนของแม่เพื่อไปชี้จุดที่นำปืนออกมาใช้ก่อเหตุ
ส่วนจุดที่สามผู้ต้องหาอ้างว่าโดนผู้ตายนั้นด่าทอ จึงเกิดบันดาลโทสะแล้วเข้าไปหยิบปืนที่ห้องนอน ก่อนจะลั่นไกยิงอาทั้งสองบริเวณถนนหน้าบ้าน ซึ่งระหว่างที่ทำแผนนายเต่ายังบอกอีกว่าได้ลั่นไกยิงอาทั้งสองตั้งแต่บริเวณหน้าบ้านแล้วเดินไปหาผู้ตาย และจำไม่ได้ว่ายิงไปกี่นัด หลังจากยิงเสร็จก็หลบหนีไป
ขณะเดียวกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาขึ้นรถระหว่างนั้น มีเพื่อนของผู้ต้องหาเข้ามาโอบกอดและหอมแก้ม และพยายามพูดอะไรบางอย่างกับผู้ต้องหา และทางด้านแฟนสาวของผู้ต้องหาก็ได้เข้ามาสวมกอด พร้อมกับหอมแก้มและบอกผู้ต้องหาว่าจะรออยู่จนกว่าจะออกมา
ทางด้านนางสาวสุนิสา อายุ 33 ปี แฟนสาว เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองทราบเรื่องจากญาติ (พี่สะใภ้) ได้โทร. มาบอกตนเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา พอทราบข่าวตนก็ช็อกและตกใจ ไม่คิดว่าแฟนจะก่อเหตุแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้แฟนของตนก็ใช้ชีวิตตามปกติไม่มีเรื่องกับใคร โดยแฟนของตนไม่ได้เป็นคนใจร้อน เป็นคนพูดจาดี และไม่เคยหาเรื่องใคร ทนได้อาศัยอยู่กับแฟนมากกว่าสามปีแล้วไม่เคยเห็นพฤติกรรมรุนแรง
ส่วนเรื่องอาวุธปืนนั้นตนยืนยันไม่เคยเห็น และไม่ทราบด้วยว่าแฟนของตนนั้นมีปืนไว้ที่บ้าน ซึ่งตอนนี้ตนรู้สึกตกใจและเสียใจมาก ส่วนตัวตนไม่รู้จักกับผู้ตายบอกว่าทำงานเป็นกะหลังจากเลิกงานก็เข้าบ้านนอนยังไม่เคยพูดคุยกับผู้ตายเลย ขณะ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวแฟนขึ้นรถตนได้เข้าไปก่อนและหอมแก้มและได้บอกกับแฟนว่า ยังไงก็จะรอ
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ เราได้พูดคุยกับนางละเอียด อายุ 62 ปี แม่ของผู้ก่อเหตุและเป็นภรรยาของนายประยูร เจ้าของบ้าน เล่าว่า ปกติลูกชายอยู่บ้านหลังนี้ หลังเกิดเหตุตนเองบอกกับลูกชายว่า ไปยิงเขาก็ให้ไปมอบตัว ไม่ต้องหนี แต่ลูกชายบอกว่าจะขอหนีไปสงบสติอารมณ์ ขอไปทำใจก่อน
ส่วนบ้านผู้ตายอยู่ด้านหลังบ้านของตนเองต้องเดินเข้าไป รถเข้า-ออกไม่ได้ ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ครอบครัวของตนเองมีปัญหาขัดแย้งกันเรื่องที่ดินกันมากว่า 20 ปี ก่อนจะเกิดเหตุลูกชายบอกกับตนเองว่า “ถ้าอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้ ใครก็ไม่ได้อยู่” ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ซึ่งตนเองไม่รู้เรื่อง เพราะกำลังทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน มาทราบอีกทีคือได้ยินเสียงปืน 10 กว่านัด เมื่อออกมาลูกชายก็เดินเข้าบ้านและขี่รถหลบหนีไปทันที
ส่วนปมเหตุที่ลูกชายไปยิงน้องของสามีทั้งสองคน มาจากความขัดแย้งเรื่องที่ดิน จำนวน 4 ไร่ 1 งาน โดยที่ดินดังกล่าว มีทั้งที่นา และบ้านของสามีตั้งอยู่ โดยพ่อของสามี คือ ปู่บุญมา เมื่อ 20 ปีก่อน ได้อนุญาติให้สามี คือ นายประยูร (ลูกคนที่3) เป็นคนสร้างบ้านหลังนี้แต่ยังไม่มีการโอนที่ดินให้กับนายประยูร
แต่ต่อมาประมาณปี 2549 หรือ 17 ปีที่แล้ว จู่ ๆ มีหมายศาลฟ้องให้สามีตนเองและครอบครัวย้ายออกไปจากบ้านไปให้หมด และเพิ่งมารู้ภายหลังว่า นางพะเยาว์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นน้องสาวคนสุดท้อง (ลูกคนที่ 5) ได้ฟ้องเอาที่ดินและบ้านจากสามี โดยนางพะเยาว์ได้ร่วมมือกับนายพยัพ (ลูกคนที่ 4) ไปแอบเอาโฉนดที่ดินทั้งหมด ไปให้ปู่บุญมาเซ็น โดยอ้างว่า นางพะเยาว์จะเป็นผู้แบ่งที่ดินให้กับพี่น้อง 5 คนเอง ประกอบด้วย คนที่ 1 นายประเสริฐ พี่คนโต คนที่ 2 ประจวบ คนที่ 3 ประยูร คนที่ 4 พายัพ และคนที่ 5 พะเยา แต่สุดท้าย นางพะเยาว์กลับหักหลังและยึดเอาที่ดินทั้งหมดเป็นของตัวเอง
ที่ผ่านมานายประยูร สามี และลูกชายที่ก่อเหตุพยายามต่อสู้คดีมาถึง 3 ศาลตั้งแต่ ปี 2549 เพื่อรักษาบ้านหลังนี้ไว้ เพราะ ปู่บุญมาเป็นคนอนุญาตให้สร้างและครอบครัวตนเองก็เป็นคนดูแลปู่บุญมามาโดยตลอดจนปู่บุญตายที่บ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งต่างจาก 2 ผู้ตายที่ไม่เคยมาดูปู่เลยหลังจากปู่เซ็นยกที่ดินให้แบ่ง
กระทั่งช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สู้กันมาถึงศาลสุดท้าย สรุปว่า ฝั่งนางพะเยาว์ชนะคดี ศาลตัดสินให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของนางพะเยาว์แต่เพียงผู้เดียว และนางพะเยาว์หลังชนะคดีก็ได้พยายามเข้ามาไล่ให้ครอบครัวตนเองย้ายออกจากบ้านไปแต่ตัวและเสื้อผ้า ตนเองพยายามต่อรองทุกวิถีทาง สัญญาว่าจะทำทางเข้าออกรถให้เพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอนแต่ก็ไม่สำเร็จ จะต่อสู้คดีเพื่อขอค่ารื้อถอนบ้านก็แพ้
คาดว่าทำให้ลูกชายของตนเองเกิดความเครียด ไม่รู้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน จึงได้ใช้อาวุธปืนของสามีที่มีอยู่ติดบ้าน กระหน่ำยิงทั้งนาางพะเยาง์และนายพยัพจนเสียชีวิต ซึ่งตนเองก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนายมด (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นลูกชายนางพะเยาว์ผู้ตาย ให้ข้อมูลว่า แม่และครอบครัวฝั่งผู้ก่อเหตุได้มีความขัดแย้งฟ้องร้องเรื่องที่ดินมาหลาย 10 ปีแล้ว และแทบจะไม่เคยคุยกัน ก่อนจะเกิดเหตุแม่บอกว่าจะออกไปวิดน้ำ และได้ล็อกประตูบ้านไว้ จากนั้นผ่านไปไม่นานตนเองก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นประมาณ 10 กว่านัด ด้วยความตกใจตนเองกำลังจะวิ่งออกจากบ้านไปดู
แต่ระหว่างนั้นตนเองเห็นนายเต่า ผู้ก่อเหตุ เดินถือปืนมุ่งตรงมาที่บ้าน พร้อมกับตะโกนให้ตนเองออกมาจากบ้าน ด้วยความกลัวและตกใจ จึงหลบอยู่ในบ้านไม่ออกไป ก่อนที่นายเต่าจะเดินหลบหนีไปต่อ ซึ่งโชคดีหากตนเองออกไปก็คงถูกยิงตายเป็นศพที่ 3 ไปแล้ว
นายมดยังบอกอีกด้วยว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวตนเองยังสงสัยอีกด้วยว่า ญาติของตนเองอีกคนก็เคยถูกฝั่งผู้ก่อเหตุวางยาพิษและเสียชีวิตเมื่อ 14 ปีก่อนอีกด้วย แต่ยังไม่มีหลักฐานพอเอาผิด ซึ่งก็เคยมีปัญหาเรื่องที่ดินเช่นเดียวกัน