จากกรณีกรณี น.ส.ผึ้ง (นามสมมุติ) อายุ24 ปี ที่ตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ถูกข่มขืน 2 ครั้ง และสามี ชื่อว่า นายบอส อายุ 32 ปี คิดว่านอกใจสุดวิปริตทำร้ายก่อนร่วมเพศในป่าข้างถนนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ จนกระทั่ง น.ส.ผึ้ง ทนไม่ไหวได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจาก พ่อครูตะวัน หัวหน้ากลุ่มครูข้างถนนจังหวัดอุดรธานี โดยจากข้อมูลในช่วงเมื่อวานที่ว่าในวันนี้ น.ส.ผึ้ง จะได้จากโรงพยาบาล หลังจากที่เข้าไปรักษาตัวด้วยอาการของโรคเบาหวานและมีน้ำตาลขึ้นสูง นั้น
ในวันนี้ น.ส.คูณ (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวของ น.ส.ผึ้ง ได้เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ในช่วงเมื่อเช้าที่ผ่านมาได้เข้าไปเยี่ยมอาการของพี่สาวที่โรงพยาบาลจังหวัดอุดรธานี ซึ่งทางแพทย์ยังไม่อนุญาตให้พี่สาวตนกลับบ้านได้ เนื่องจากยังมีอาการน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ และมีอาการตามเลอเนื่องจากเบาหวานขึ้นตา ซึ่งโรคนี้น่าจะเป็นมาจากกรรมพันธุ์ เพราะพ่อและแม่ก็เป็นโรคนี้
ซึ่งตนนั้นได้คุยกับทางพี่สาวของตน ในเรื่องการช่วยเหลือหลังจากนี้พี่สาวของตนไม่ต้องการอะไร แต่เป็นห่วงลูกคนโตที่อยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ถึงอยากให้ทางหน่วยงานรัฐช่วยเหลือติดต่อลูกคนโตเพราะลูกคนโตอยู่ในการดูแลของสถานสงเคราะห์ ของจังหวัดปทุมธานี ในส่วนเรื่องของการรักษาหายเสร็จแล้ว และคลอดลูกแล้วนั้น ก็จะมาอยู่ที่บ้านของครูตะวัน กับตน แล้วหลังจากนั้นตนก็ช่วยพี่สาวตนเลี้ยงลูก
ซึ่งหลังจากคลอดลูกแล้วก็จะคุยกับพี่สาวอีกครั้งหนึ่ง ว่าจะดำเนินคดีกับนายมอสหรือไม่ ในส่วนของตอนนี้ก็จะดูในเรื่องของค่ารักษาอาการปวดของพี่สาว และการคลอดลูกก่อน
จากนั้นทีมข่าวจึงได้เดินทางไปที่ จ.อุดรธานี เพื่อมาตามหานายสังวาลย์ หรือบอส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผัวโหดที่ทำร้ายเมียท้องก่อนที่จะมีเพศสัมพนธ์ โดยนายบอสได้เล่าชีวิตรักของตัวเองกับนางสาวผึ้งว่า ช่วงประมาณต้นปีที่แล้วตัวเองได้ไปทำงานรับเหมาที่อุดรฯ แล้วพบกับนางสาวผึ้งแต่ตอนนั้นนางสาวผึ้งอบู่กับแฟนเก่า แต่ถูกแฟนเก่ากระทืบทุกวัน โดยตัวเองได้ไปช่วยเหลือนางสาวผึ้งออกมา ในตอนนั้นตัวเองคอยให้ความช่วยเหลือกับนางสาวผึ้งทุกอย่างจนนางสาสผึ้งยินยอมเดินทางมากับตัวเอง ซึ่งนางสาวผึ้งมีลูกติดมากับแฟนเก่าหนึ่งคนและได้นำมาอยู่ตัวเอง
ช่วงแรกได้พากันเดินทางไปอยู่ที่จังหวัดกรุงเทพฯ หลังจากนั้นได้พากันมาอยู่ที่บ้านที่ อ.เพ็ญ โดยนางสาวผึ้งแฟนตัวเองก็มีพฤติกรรมเจ้าชู้ ตัวเองให้โอกาสไปหลายรอบมากซึ่งตัวของนางสาวผึ้งก็เป็นคนที่ยอมรับและสารภาพกับญาติของตัวเอง ว่าเล่นชู้กับคนที่ตัวเองพาไปทำงานและคนที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งตัวนางสาวผึ้งนั้นจะแอบออกไปนอกบ้านในช่วงกลางคืนตอนที่ตัวเองหลับ ตัวเองไม่คิดว่าคำพูดของนางสาวผึ้งจะเป็นเรื่องประชด ซึ่งหลายอย่างที่นางสาวผึ้งและน้องสาวกล่าวหาตัวเองมานั้นหลายอย่างไม่ตรงกับความเป็นจริง
หลังจากที่นางสาวผึ้งมาอยู่กับตัวเองนั้นก็ได้ท้องขึ้น แต่ในระหว่างที่แบกท้องอยู่นางสาวผึ้งได้ไปเล่นชู้กับคนอื่น ซึ่งตัวเองก็ไม่มั่นใจว่าลูกในท้องของนางสาวผึ้งเป็นลูกของตัวเองหรือไม่
ที่ผ่านมาตัวเองก็ยอมรับว่า มีการทะเลาะตบตีกับนางสาวผึ้งแต่ไม่ถึงกับมีเหตุรุนแรง ซึ่งตัวเองก็ได้บอกนางสาวผึ้งอยู่ตลอดเรื่องมีชู้ แต่นางสาวผึ้งไม่ยอมฟัง ขนาดนางสาวผึ้งท้องหกถึงเจ็ดเดือนก็ยังไม่เลิกเล่นชู้ ตัวเองยอมรับว่าเคยทำร้ายร่างกาย แต่ไม่ถึงกับหนักและไม่เคยใช้อาวุธ
ในวันสุดท้ายแม่ของตนก็ได้ไปส่งนางสาวผึ้งกลับไปหาญาติที่อุดรฯ และยืนยันว่าแม่ของตนได้ให้ค่ารถกับนางสาวผึ้งทุกรอบที่ไปส่งที่ท่ารถ ในวันสุดท้ายที่แม่ของตนไปส่งนางสาวผึ้งนั้นตัวเองยืนยันว่าไม่มีการทะเลาะตบตีกันแต่อย่างใด
ยอมรับว่าเคยไปหานางสาวผึ้งที่จังหวัดอุดรฯ แต่ไม่เคยไปกราบเท้าอ้อนวอนให้นางสาวผึ้งกลับมา เพียงแต่ไปเยี่ยมก็แค่นั้น และในระหว่างที่นางสาวเพิ่งอาศัยอยู่ที่มูลนิธินางสาวผึ้งได้โทร. ตามตัวเองให้ไปหาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเวลาที่ตัวเองไปหาและได้เจอนางสาวผึ้งก็พูดคุยกันแบบดี ๆ
หลังจากที่ตัวเองได้เลิกกับนางสาวผึ้งไปประมาณสองเดือน จนในวันนี้มีนักข่าวตามหาตัวเองมาถึงที่บ้าน ตัวเองก็รู้สึกตกใจคำพูดสุดท้ายที่นางสาวผึ้งบอกกับแม่ตัวเอง ว่าถ้าหลังจากเลิกกันไปแล้วมีปัญหาให้ตัวเองตามไปกระทืบนางสาวผึ้งได้ที่อุดรธานีเลย แต่ตัวเองคงไม่ไปทำถ้าเรื่องดังกล่าวเป็นคดีความขึ้นมา ตัวเองก็ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสอบสวนเพราะตัวเองยืนยันว่าฝ่ายหญิงเป็นคนไปเองและตัวเองก็เป็นคนไปส่ง
สำหรับเรื่องลูกในท้องของฝ่ายหญิง ถ้าคลอดออกมาแล้วตรวจสอบว่าเป็นลูกของตัวเองจริง แต่ตัวของผู้หญิงไม่ได้ให้เกียรติตัวเอง เวลาท้องก็ไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นตัวเองจึงไม่อยากขอรับเด็กมาเป็นลูก แล้วด้วยตัวนางสาวผึ้งพูดเองว่าเขาสามารถเลี้ยงลูกคนเดียวได้ ตรงนี้ตัวเองก็ไม่รู้ว่าสังคมจะมองว่าผิดหรือไม่
ซึ่งในตอนนี้ตอนยืนยันว่ายังไงก็ไม่กลับไปดีกับนางสาวผึ้งอย่างแน่นอน โดยพฤติกรรมที่เขาได้ทำไว้ ตนเองรับไม่ได้ และให้โอกาสถึงสามครั้งแล้ว โดยหลังจากนี้ก็จะไม่ติดต่อ และไม่ยอมรับกับคนคนนี้อีก
จากนั้นทีมข้าวมีโอกาสได้พูดคุยกับ นางกาญ อายุ 54 ปี ซึ่งแม่ของนายบอส ได้เล่าให้กับทีข่าวฟังว่า ในช่วงที่นางสาวผึ้งจะขอไปหาญาติในจังหวัดอุดรธานีทุกรอบ ตนเป็นคนไปส่งที่ท่ารถโดยตลอด แม้กระทั่งในรอบสุดท้ายที่เขาจะกลับไปหาน้องของเขาตนก็เป็นคนไปส่ง และเป็นคนให้ตังค์ค่ารถไปจำนวน 40 บาท ไม่ใช่ไปขอคนอื่นตามที่ไปเล่าให้กับนักข่าวและครูตะวันฟัง
และในเรื่องที่นางสาวผึ้งคบกับชู้นั้น ตัวนางสาวผึ้งเองก็มาสารภาพให้ตนและนายบอสฟังในทุกครั้งที่เขามีการคบกับชู้ ซึ่งตนก็ถามว่าเอาเวลาตรงไหนไปคบกับชู้ นางสาวผึ้งก็ได้ตอบกับตนว่าตอนช่วงมี่นายบอสนอนหลับจึงได้ออกไปหาชู้ โดยตัวนางสาวนั้นเป็นคนที่ที่พูดอะไร ไม่เป็นความจริง เวลาพูดกับตนอีกแบบ แต่ไปพูดกับคนอื่นอีกแบบ และทำให้เสียหายถึงครอบครัวตน ซึ่งในก่อนที่เขาไปเขาได้บอกว่าไม่มีการเอาเรื่องไปฟ้องร้อง หรือแจ้งความอะไรอย่างแน่นอน ถ้ามีการไปฟ้องร้องหรือแจ้งความเกิดขึ้น ให้นายบอสไปหาที่จังหวัดอุดรธานี และกระทืบได้เลย แต่เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้น
ในส่วนเรื่องเรื่องของการทำร้ายร่างกายนางสาวผึ้งไม่เคยเห็นว่านายบอสจะทำร้ายร่างกายนางสาวผึ้งอย่างรุนแรงแต่อย่างใด มีแต่เพียงทะเลาะกันมีปากเสียงกันและลงไม้ลงมือนิดหน่อย เพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าตนนั้นไม่ถูกกับนางสาวผึ้งที่เป็นลูกสะใภ้ อันนี้ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงเพราะการที่นางสาวผึ้งมาอยู่ที่บ้าน ก็เอาแต่นอนไม่รู้จักทำงานทำการอะไรเลย จึงทำให้ตนไม่ชอบสักเท่าไร
ในส่วนรูปในท้องของนางสาวผึ้งนั้น ก็คาดว่าไม่น่าจะใช่ลูกของนายบอส เพราะตอนที่นางสาวผึ้ง มาอยู่กับนายบอสช่วงแรกก็ท้องมาได้สามเดือนแล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นหลานของตน แต่ไม่ทราบว่าเป็นลูกของใคร