วันที่ 9 ม.ค. 2567 ทีมงานเพจเป็นหนึ่งพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยนวลจันทร์ 9 เพื่อช่วยเหลือเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่พ่อถูกจำคุก และถูกย่าบังคับให้อดอาหารและไล่ออกจากบ้านจนเป็นเด็กเร่ร่อน ก่อนที่จะมีผู้อ้างรับไปดูแลแต่ไปเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือ

ด้านเพื่อนบ้านเล่าว่า มักจะเห็นเด็กวิ่งเล่นและเด็กมักจะมาขออาหารอยู่เป็นประจำ โดยเด็กอาศัยอยู่กับย่าเพราะว่าพ่อติดคุก แม่ตาย โดยมีการเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ให้เรียนหนังสือ ถ้าเกิดเด็กกลับมาช้าก็จะไม่เข้าบ้านและต้องนอนบริเวณนอกบ้านอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เด็กมักจะบ่นว่าโดนยุงกัด ก่อนหน้านี้มีการส่งเด็กไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากเด็กกลับมาเห็นได้ว่ามีลักษณะที่ดีขึ้น แต่เมื่อย่ารับมาก็เลี้ยงดูแบบเดิมคือไม่ใส่ใจ

แม้ว่าวันนี้ทางมูลนิธิเป็นหนึ่ง เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงตำรวจในท้องที่จะพยายามตามหาเด็กชายวัย 8 ขวบ ซึ่งใช้เวลานานกว่าหลายชั่วโมง แต่ก็ไม่สามารถหาตัวเด็กชายได้เจอ จนต้องกระจายกลุ่มกันออกตามบริเวณแถวบ้านของเด็กชายวัย 8 ขวบ

ล่าสุดทีมข่าวช่วยออกตามหาพร้อมเจ้าหน้าที่ ซึ่งทีมข่าวช่อง 8 บังเอิญมาเจอน้องเป็นคนแรก อยู่ที่บริเวณฝั่งตรงกันข้ามกับหมู่บ้านที่น้องอาอาศัยอยู่ ภายในซอยประเสริฐมนูกิจ 34 อยู่ห่างจากบ้านย่าประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งน้องแอบมาพักอาศัยอยู่กับชายคนหนึ่งริมถนน จึงรีบประสานทางเจ้าหน้าที่ พม. รวมถึงตำรวจ และมูลนิธิเป็นหนึ่ง ตามมาสมทบเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือทันที



ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ เด็กชาย 8 ขวบได้เปิดเผยความในใจกับทีมข่าวว่า ตัวเองถูกย่าแท้ ๆ ไล่ออกมาจากบ้านได้ประมาณ 10 กว่าวันแล้ว ตอนที่ย่าไล่ออกมานั้นย่าได้นำน้ำสาดใส่ตัวเอง เพื่อไล่ออกมาอยู่บริเวณหน้าบ้านด้วย ส่วนสาเหตุที่ย่าไล่ตัวเองออกมาจากบ้านนั้นก็ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เพราะย่าชอบอารมณ์เสียอยู่เป็นประจำ ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกญาติทุบตีทำร้ายร่างกายเข้าที่บริเวณด้านหลังด้วย ทำให้ตัวเองต้องมาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่อย่างนี้

ขณะเดียวกันทีมข่าวได้พูดคุยกับนายสัมฤทธิ์ หรือ หนุ่ม อายุ 56 ปี คนที่ทีมข่าวไปเจอว่าน้องมาขออาศัยอยู่ด้วยช่วงกลางวัน เปิดเผยว่า เมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว น้องมักจะออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อมาเล่นกับลูกชายของตน ซึ่งก่อนหน้านี้น้องได้ไปเรียนหนังสือพร้อมกับลูกชายพร้อมกับลูกชาย แต่ปัจจุบันน้องได้ออกจากโรงเรียนแล้ว

ที่ผ่านมาเวลาน้องมาเล่นกับลูกชายตนที่บ้านมักจะบอกว่า “ไม่อยากกลับบ้าน” บางครั้งถึงขั้นมาอาศัยนอนอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นประจำ ซึ่งระยะหลัง ๆ ตนพยายามไล่น้องให้กลับบ้านเพราะกลัวที่บ้านเป็นห่วง แต่พอน้องกลับไปสักพักก็กลับมาและบอกกับตนว่า “ไม่สามารถเข้าบ้านได้ เคาะบ้านล็อก” ตนจึงจำเป็นต้องให้น้องนอนค้างมี่บ้านตน

นายหนุ่ม ยอมรับว่า ขณะที่น้องมาเล่นที่บ้านตนเป็นประจำ ตนก็จะคอยให้ข้าวให้น้ำกินแทบทุกครั้ง ในส่วนประเด็นที่น้องอ้างว่าถูกผู้เป็นย่าทำร้ายร่างกายนั้น ก็เคยได้ยินน้องเล่าให้ฟังแต่ไม่เคยเห็นกับตา เนื่องจากไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน



นอกจากนั้นทีมข่าวได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่เคยเห็นเหตุการณ์ในขณะที่น้อง 8 ขวบอาศัยอยู่กับย่าวัยประมาณ 60 ปี ซึ่งเพื่อนบ้านบอกว่า ก่อนหน้านี้มักได้ยินเสียงเด็กชายร้องดังออกมาจากบ้านอยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญได้ยินเสียงร้องเหมือนถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย ส่วนเมื่อช่วงประมาณ 10 วันก่อน เห็นเด็กชายต้องมานอนอยู่หน้าบ้าน เพราะถูกย่าไล่ออกจากบ้าน

ส่วนย่าที่เลี้ยงดูหลานคนนี้มีประวัติเกี่ยวกับเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะว่าตัวลูกชายของย่าซึ่งเป็นพ่อของเด็กก็ถูกตำรวจจับดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนส่วนตัวย่าเองก็มีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด การที่ย่าทำร้ายร่างกายหลานนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติดด้วย

ต่อมาทีมงานเพจเป็นหนึ่งพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบบ้านย่า เจ้าหน้าที่ตะโกนเรียกแต่ไม่มีใครออกมา จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ได้ไปเรียกบ้านอีกหลังหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งระบุว่าเป็นบ้านของนายไพศาล ซึ่งเป็นญาติกันและเป็นผู้โพสต์รับบริจาค



จากนั้นนายไพศาลจะเปิดประตูออกมาคุยกับเจ้าหน้าที่ พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองเป็นเพียงญาติ น้องวัย 8 ขวบมีศักดิ์เป็นหลาน รับว่าเด็กได้ถูกผู้เป็นย่าไล่ออกจากบ้านจริง และมีการทำร้ายร่างกาย โดยตนเองได้เห็นเด็กนอนบริเวณหน้าบ้าน จึงเรียกเข้าบ้านด้วยความสงสาร

โดยเด็กวัย 8 ขวบ มีพฤติกรรมชอบออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่และจะกลับมาประมาณสามทุ่มซึ่งตนไม่รู้ว่าไปที่ไหน โดยเด็กคนนี้เคยเรียนหนังสืออยู่แถวโรงเรียนคลองลำเจียก แต่ปัจจุบันคนเป็นย่าไม่ได้ให้เข้าเรียน และมีพี่สาววัย 10 ขวบ ก็ไม่ได้เรียนเหมือนกันโดยอาศัยอยู่บ้านย่า

ยอมรับว่ามีการเปิดบัญชีรับบริจาคจริง เพราะต้องการเงินให้เด็กไปเรียนหนังสือ ไม่ได้มีเจตนาในการเอาเงินที่บริจาคไปใช้ส่วนตัว ซึ่งสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ ซึ่งตนเองทำอาชีพเป็นพนักงานส่งของ ไม่ได้มีรายได้ที่สูง

ด้านต้นอ้อจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง บอกว่า ตอนนี้ได้ส่งเด็กอยู่ในความดูแลและความช่วยเหลือตามกระบวนการของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว แต่หลังจากนี้จะต้องมีการสานต่อด้วยการให้การช่วยเหลือพี่สาวอีกคนหนึ่งของเด็กชายวัย 8 ขวบ ซึ่งขณะนี้อยู่กับย่าที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เนื่องจากย่าไปเฝ้าไข้ผู้ป่วยอีกคนหนึ่งอยู่ที่โรงพยาบาล จึงทำให้ต้องทำพี่สาวของเด็กชายวัย 8 ขวบไปด้วย