2 นายทุนเงินกู้โหดมอบตัวแล้วหลังใช้หมวกกันน็อคตีศีรษะป้าวัย 56 ปี โดนข้อหาหนัก
จากกรณี ป้าจุก วัย56ปี ถูกแก๊งเงินกู้ 2 คน ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดภายในซอยวุฒากาศ 46 แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม. โดยผู้เสียหาย ได้ไปร้องกับเพจสายไหมต้องรอด เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางขุนเทียน ได้ควบคุมตัว ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนได้ ทราบชื่อ 1 นายธีระพันธ์ หรือ พัน อายุ 27 ปี และนายวิโรจน์ หรือ ตี๋ อายุ 36 ปี โดยพฤติกรรมการก่อเหตุ ผู้กล่าวหาได้มาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บางขุนเทียน ว่าได้กู้เงินจาก นายตี๋,พัน จำนวน 4,000 บาท ได้รับเงินจริง 3,400 บาท ผ่อนวันละ 200 บาท ระยะเวลาผ่อน 24 วัน ต่อมาวันที่ 22 ธันวาคม 2566 นายตี๋ ทราบชื่อภายหลังคือ นายวิโรจน์ ได้มาเก็บเงินกู้ แต่ผู้กล่าวหาไม่มี นายวิโรจน์ จึงได้ขับรถจักรยานยนต์ชนผู้กล่าวหาที่ขาเป็นรอยช้ำ
ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2567 นายพัน ทราบภายหลังชื่อ นายธีระพันธ์ และนายวิโรจน์ มาเจอกับผู้กล่าวหาอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นนายธีระพันธ์ฯ เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทะเบียน 6กฐ 5679 กรุงเทพมหานคร โดยมีนายประเสริฐซ้อนท้ายได้ลงจากรถจักรยานยนต์มาตบหน้าผู้กล่าวหา 2 ที และใช้หมวกกันน็อคตีที่ศีรษะผู้กล่าวหา 2 ครั้งเป็นเหตุให้ผู้กล่าวหาได้รับบาดเจ็บ ผู้กล่าวหาจึงได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยเหตุการณ์ เกิดขึ้นวันที่ 22 ธันวาคม 2566
โดยชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยนายวิโรจน์ รับว่าได้กู้เงินจากธนาคาร ธกส. สาขาวังทอง เมื่อประมาณปลายปี 2566 เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท แล้วนำมาออกเงินกู้โดยเป็นนายทุนเอง ปัจจุบันพักบ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ ในหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งฝ่ายสืบสวน สน.บางขุนเทียน จะได้ตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีของนายประเสริฐต่อไป
โดยในวันที่ 12 มกราคม 2567 ทางพนักงานสอบสวน จะควบคุมตัว ส่งฝากขังต่อศาลอาญาธนบุรี ในข้อหา ความผิดฐาน “ร่วมกันทวงถามหนี้โดยการข่มขู่ ใช้ความรุนแรง หรือกระทำอื่นใดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของลูกหนี้,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น,ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับในทางการค้าปกติ โดยไม่ขออนุญาตจากรัฐมนตรีฯ และยินยอมให้ผู้อื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงินโดยมีลักษณะเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด