จากกรณี เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุพลุระเบิดในโรงงานพลุ ซึ่งอยู่ที่บ้านศาลาขาว หมู่ที่ 2 ต.สวนแตง อ.เมืองสุพรรณบุรี สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้ว 23 ราย สูญหายประมาณ 5-6 คน โดย 2 ใน 23 รายที่เสียชีวิต มีรายงานยืนยันว่าเป็นภรรยาและลูกชายเจ้าของโรงงานนั้น
วันที่ 18 ม.ค. 2567 ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมาจุดเกิดเหตุบริเวณโรงงานพลุดังกล่าว โดยเมื่อเวลาประมาณ 09.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยจากหลายมูลนิธิฯ ที่เข้ามาบูรณาการการทำงาน ณ จุดเกิดเหตุโรงงานพลุระเบิด ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการกู้ร่างผู้เสียชีวิตนำมารวมไว้ตรงจุดที่เป็นโครงสร้างของโรงงานพลุ ก็จะมีการเคลื่อนร่างไปที่วัดโรงช้างในวันนี้
สำหรับอุปสรรคในการเคลื่อนร่างผู้เสียชีวิตในวันนี้ เนื่องจากรถตู้คอนเทนเนอร์ห้องเย็นของมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพฯ ไม่สามารถเข้ามาในพื้นที่จุดเกิดเหตุได้ เพราะสภาพพื้นที่จุดเกิดเหตุเส้นทางนั้นเป็นลักษณะคันนาที่มีความแคบ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้ดำเนินการใช้รถกระบะกู้ภัยและรถตู้พยาบาลลำเลียงร่างผู้เสียชีวิตหนึ่งคันต่อหนึ่งร่าง และนำเคลื่อนย้ายไปไว้ที่วัดโรงช้าง ซึ่งเป็นจุดที่จะใช้ชันสูตรศพโดยละเอียดและพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล โดยมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่นิติเวชของโรงพยาบาลตำรวจ พิสูจน์หลักฐานภาค 7 และพิสูจน์หลักฐานจังหวัดสุพรรณบุรีร่วมกันชันสูตร
ในส่วนประเด็นที่มีการรายงานว่า จากกรณีที่พบร่างผู้เสียชีวิตในช่วงเมื่อคืนนี้จำนวน 21 ราย ซึ่งยังเหลืออีก 2 รายที่ยังไม่พบร่าง โดยในช่วงเวลาประมาณ 09.35 น. ทีมข่าวได้รับความคืบหน้าข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยพบชิ้นส่วนของมนุษย์ที่สามารถประกอบเป็นโครงสร้างมนุษย์ได้จำนวนอีก 2 ร่าง จึงสรุปได้ว่าในตอนนี้พบผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23 รายเป็นที่เรียบร้อย และหลังจากนี้จะดำเนินการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่วัดโรงช้างต่อไป
ทั้งนี้ ทางทีมข่าวได้เผยภาพถ่ายเปรียบเทียบสภาพความเสียหายก่อน-หลังเกิดเหตุโรงงานพลุระเบิด พบว่าอานุภาพของแรงระเบิด ทำให้อาคารของโรงงานหายไปทั้งหลัง
ภาพบีบใจ 23 ศพ ตายสยอง เซ่นโรงงานพลุบึ้ม
บรรยากาศที่ศาลาวัดโรงช้าง ซึ่งจัดตั้งเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโรงงานพลุระเบิด จังหวัดสุพรรณบุรี โดยเจ้าหน้าที่ได้ลำเลียงศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 23 ศพ มาไว้ที่นี่ เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ตั้งแต่เวลา 9.30 น. ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์อัตลักษณ์ โดยนำดีเอ็นเอของญาติไปเทียบกับศพ ซึ่งพบว่าอุปสรรคคือชิ้นเนื้อต่าง ๆ ที่ต้องพิสูจน์อัตลักษณ์เป็นรายชิ้น
ทั้งนี้ ญาติของผู้เสียชีวิตก็เดินทางมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพื่อรอรับศพของผู้เสียชีวิต และทำเอกสารเพื่อเบิกเงินช่วยเหลือ บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าเพราะหลายคนยังคงทำใจไม่ได้กับการสูญเสียที่เร็วมาก ขณะเดียวกันมีหน่วยงานหลายหน่วยงานเข้ามาให้การช่วยเหลือ
ทั้งนี้ มีช่วงหนึ่งที่สื่อมวลชนหลายสำนักกำลังเกาะติดทำข่าว เพื่อรายงานความคืบหน้าขั้นตอนการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล รวมถึงการมอบสิ่งของช่วยเหลือต่าง ๆ ที่มีหน่วยงานนำมามอบให้ชาวบ้านและครอบครัวผู้เสียชีวิต
เป็นจังหวะเดียวกับที่สื่อมวลชนสังเกตเห็นเจ้าของโรงงานพลุ นั่งอยู่พร้อมกับลูกสาวคนเล็กที่มารอติดต่อรับร่างแม่และพี่ชายคนโตที่เสียชีวิตทั้ง 2 นั่งจับมือกันแน่นและมีสีหน้าเคร่งเครียด ลูกสาวร้องไห้ไม่หยุด แต่ก็ยังไม่มีใครเข้าไปขอสัมภาษณ์ มีเพียงเก็บภาพอยู่ไกล ๆ
จังหวะนั้น สส. พรรคชาติไทยพัฒนา ได้พูดออกเครื่องขยายเสียง ทำนองว่า "ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ให้ขยับเพื่อให้มีพื้นที่ว่าง" แต่ยังพูดไม่จบประโยค ทางลูกสาวเจ้าของโรงงานก็แย่งไมค์และพูดออกไมค์ทั้งน้ำตา ทำนองว่า "จะถ่ายอะไรกันนักหนา ขอให้เข้าใจความรู้สึกคนสูญเสีย" ทำให้สื่อมวลชนต่างมองหน้ากันและงุนงง เพราะยังไม่มีสื่อสำนักข่าวไหนที่พยายามจะเข้าขอสัมภาษณ์ตัวลูกสาวของเจ้าของโรงงานและตัวเจ้าของโรงงานเลย
จากนั้น สื่อมวลชนได้ไปพูดคุยทำความเข้าใจกับนักจิตวิทยาที่ดูแลครอบครัวนี้ เพื่ออธิบายและชี้แจงว่า สื่อมวลชนต้องการขอข้อมูลจากเจ้าของโรงงาน เพื่อถามถึงเรื่องของใบอนุญาตการประกอบโรงงานพลุ และสาเหตุการระเบิดครั้งนี้ได้หรือไม่ แต่นักจิตวิทยาที่ดูแลครอบครัวเจ้าของโรงงานได้ให้คำตอบสื่อมวลชนว่า "ตอนนี้เจ้าของโรงงานยังไม่มีสภาพจิตใจพร้อมพอที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ"
บีบใจ! ลูกมากอดแม่พิการ ก่อนพบจุดจบพลุระเบิด
ขณะที่ทีมข่าวมีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับแม่นกเล็ก แม่ของน้ำฝน หนึ่งในผู้เสียชีวิตเหตุพลุระเบิด เดินทางมาจากกาญจนบุรี เพื่อมารอรับศพลูกสาว
โดยเล่าว่า ลูกมาทำงานที่โรงงานแห่งนี้ได้ 2-3 เดือน ตั้งแต่ลูกมาทำงานที่นี่ตนเป็นห่วงทุกวันและพยายามบอกลูกขอร้องลูกให้หาที่ทำงานใหม่ เพราะมันอันตรายเคยระเบิดรอบหนึ่งแล้ว มันต้องมีระเบิดอีกแน่ แต่เขาก็บอกว่างานหายากต้องหาเงินส่งที่บ้านให้ลูกเรียนด้วย เพราะเขาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่เมื่อคืนก่อนเกิดเหตุน้ำฝนกลับบ้านมานอนมาบอกรักแม่ ขอนอนกอดแม่ และตอนเช้าเมื่อวานก่อนไปทำงาน หันมาบอกกับแม่ว่าตนจะเลิกทำงานที่นี่แล้ว จากนั้นพอมาทำงานก็เกิดเหตุระเบิดเลยทันที ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเป็นกอดสุดท้ายของลูก
ทั้งนี้ แม่นกเล็ก เล่าทั้งน้ำตาว่า หลังจากสูญเสียเสาหลักของครอบครัวเพราะน้ำฝนทำงานส่งเสียเลี้ยงดูแม่และลูกอีก 1 คน ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะตนก็พิการด้วยทำงานไม่ได้ และพอลูกชายของน้ำฝนเห็นว่าแม่เสียชีวิตก็ประกาศว่าจะไม่เรียนต่อแล้วทั้งที่อายุเพิ่ง 10 ขวบเอง
"จะขอเสื้อผ้าใหม่จากแม่ กางเกงที่นุ่งมันคับแล้ว บอกกับแม่ แม่มารอบนี้บอกกับแม่นะ เสื้อผ้าที่หนูใส่มันคับ โทรศัพท์ก็ไม่มี ใช้ไลน์ครูส่งไลน์มาไม่รู้เรื่อง ขอโทรศัพท์แม่ แม่บอกว่าแม่จะทำให้ แม่บอกลูกว่า เดี๋ยวแม่ไปทำงานแล้วจะซื้อโทรศัพท์ให้ และจะซื้อเสื้อผ้านักเรียนให้ รับปากลูกว่าจะพาเที่ยวงานวันเด็ก พาไปนู่นไปนี่วันเสาร์นี้ นัดกับลูกจะพาไปกินหมูกระทะ เห็นแม่ตายก็ไม่มีใครส่งเงิน ยายก็ขาพิการ แล้วใครจะส่งเงินให้หนูเรียน แล้วยายจะไหวไหม ขายายไม่ดี แม่ก็เสียไปแล้ว แล้วหนูเรียนหนังสือ ไหนจะค่ารถไปโรงเรียนเดือนละพัน จะเลิกเรียนหนังสือ" จากนั้นแม่นกเล็กยังได้โชว์ภาพครอบครัวให้ทีมข่าวดู และชื่นชมลูกสาวว่าเป็นเสาหลักที่รักแม่และลูกมาก
นักเรียน ม.4 ช็อก พ่อ-แม่ ตายคู่ในโรงงานพลุ
นายธีรดล ลูกชายของนางรำไพ และนายโสพล สองสามีภรรยาที่เสียชีวิตจากเหตุโรงงานพลุระเบิด เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.4 โรงเรียนกรรณสูตรศึกษาลัย พ่อกับแม่ไปทำงานที่โรงงานพลุ ตนเองมาทราบข่าวตอนเย็นแต่ไม่สามารถไปที่เกิดเหตุได้ เพราะยายเป็นลม ที่ผ่านมาเคยขอให้เลิกทำงานที่นี่ แต่พ่อแม่ก็บอกว่ารายได้ดี หลังจากนี้ก็อยู่กับตายาย และจะศึกษาต่อเท่าที่มีกำลัง