เรวัชย้อนคดีศยามล จับคนร้ายผิดตัวเทียบคดีบัวผัน
พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ย้อนไปถึงเรื่องคดีศยามล ที่จับผู้ต้องผิดตัว ถือเป็นคดีใหญ่ในสมัยนั้น โดยชุดสืบสวนได้ลายนิ้วมือแฝงของคนร้ายชัดเจนมากถึง 13 จุด การสืบสวนตอนนั้นผมรู้แล้วว่า คนจ้างวานคือหมอ ไปจ้าง สิบตำรวจเอกแผ่ว ประจักษ์พยานคือหนูอิงอิง อายุ 3 ขวบ ดูรูปไอ้แผ่ว ก็ชี้ว่าเป็นคนฆ่าแม่ จึงได้ประจักษ์พยานนี้ว่าเป็นพยานบริสุทธิ์ เพราะเป็นเด็กไร้เดียงสา แล้วผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ลายนิ้วมือแฝงก็ตรงกับไอ้แผ่ว 13 จุด ตำรวจก็เลยจับไอ้แผ่ว
แต่ตอนนั้นผมได้ไปถามไอ้แผ่วว่า วันเกิดเหตุอยู่ไหน มันบอกว่ากินเหล้าอยู่ที่ค่าย ตชด.แถวประจวบฯ ตนเลยให้มันเขียนแผนผังว่าวันนั้นใครกินตรงไหน นั่งตรงไหน ซื้อเหล้าอะไรมาบ้าง แล้วก็ไปตรงจุดที่ไอ้แผ่วกินเหล้า มันก็ตรงกับที่ไอ้แผ่วเล่า ลายพิมพ์นิ้วมือก็ตรง ตนก็เลยรีบมาบอกผู้บังคับบัญชาว่า เป็นการจับผิดตัว ตอนนั้นทัวร์ลงผมเลย หาว่าผมรับเงิน 10 ล้านจากหมอ ซึ่งตอนนั้นมีแต่คนถามว่า คนร้ายตัวจริงคือใคร ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ใช่ไอ้แผ่ว เราต้องสั่งไม่ฟ้อง เค้าก็บอกว่าไม่ได้ เพราะจับไอ้แผ่วมาแล้วมันเสีย ตนเลยบอกไปว่า ถ้าจับไอ้แผ่วยิ่งเสียหมา เราถือหลักนักกฎหมาย ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าไปจับคนบริสุทธิ์คนเดียว
ป้าบัวผันตายถ้าจับไม่ได้เค้าก็ไม่ได้ลดเงินเดือนผม ไม่ได้ลดตำแหน่ง ไม่ได้ย้ายผม เพราะไม่ใช่ ส.ส.โดนฆ่า แล้วจะไปจับคนผิดทำไม
ตอนนี้ถือว่าท่าน ผบ.ตร.และบิ๊กโจ๊ก ทำถูกต้องแล้ว ประชาชนไม่ได้โง่ เขาใช้ดุลพินิจได้ อะไรผิดต้องบอกว่าผิด เหตุที่มันเกิดอาจมี ตร.แค่คนสองคนไปชักนำ เหมือนเราอยู่ในฝูงนักข่าว แล้วบอกว่าใครเป็นคนขว้างก้อนหิน เราก็บอกไอ้คนนี้ไง แล้วมันก็ดันรับว่า ขว้างเองครับ ทุกคนก็ลงความเห็นหมดว่าขว้าง ความผิดมันก็อยู่กับไอ้คนชักนำคนเดียว มันทำให้เรือเสีย ตัว ผกก.ก็ไม่ทันเกมส์ ก็เรียบร้อย
เรื่องนี้ต้องใช้เวลา ผู้บังคับบัญชาก็ต้องเด็ดขาด อย่าไปกลัวตำรวจเกลียด ถ้าร่างกายเป็นมะเร็งที่นิ้วก้อย ก็ต้องตัดทิ้ง ถ้ายิ่งไปปกป้องมันจะทำให้เหม็นหมด ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น แม้แต่ศาลก็ไม่เชื่อมั่นตำรวจอีก มาหลอกเอาแพะให้ออกหมายจับ ฝากขังไปผมคิดว่าศาลก็ไม่สบายใจ
ส่วนตำรวจถ้าสอบแล้วมีการเอาถุงไปคลุมจริง ต้องส่ง ปปท.ให้สอบสวน ชี้มูลทางวินัย ถ้าพบว่ามีมูลความผิดก็ต้องไล่ออกแน่นอน แต่จะติดคุกหรือไม่ก็ต้องให้ ปปท.ชี้มูลความผิด และส่งฟ้องให้ศาลพิจารณาลงโทษอีกครั้ง
ส่วนเรื่องนักข่าวที่เอาคลิปจากกล้องวงจรปิดมาเปิดนั้น ท่านเรวัช บอกว่า โดยสัญชาตญาณนักข่าวก็ต้องหาข่าวเด็ด กระเสือกกระสนว่าจะได้ข่าวตรงไหน ไล่เส้นทางว่าป้ากบอยู่ตรงไหน นักข่าวอาจจะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ตร.ไปขอกล้องอาจจะไม่ให้เพราะไม่อยากยุ่ง ต้องไปเป็นพยานอีก แต่นักข่าวไปขอ แถมบางทีเอาตังค์ไปให้อีก แต่อยากจะบอกนักข่าวว่า ถ้าจะส่งก็ควรบอกตำรวจก่อน ว่าเจอแล้วนะคนที่ฆ่า น่าจะเป็นเด็กพวกนี้นะ แบบนี้ถือว่าเป็นการช่วยงานราชการด้วย ตร.ก็จะรู้แล้วว่าจับผิด แต่คุณไม่บอกคุณปิดเงียบแล้วเอาข่าวออก ถามว่าข่าวดีเด่น แต่ว่าสังคมมันเสีย พอจะได้กล้องตัวนี้ก็ไม่มี อาชีพนักข่าวกับ ตร.ก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
แต่เคสนี้ตัว ผกก.ไม่รู้ ก็ไปบอกกับศาลว่าตาเปี๊ยกรับสารภาพแล้ว ไปทำแผนฯ พอข่าวออก ถามว่าข่าวช่องคุณดังนะ แต่ว่าฉิบหายเลย ศาลก็ไม่เชื่อถือ ประชาชนก็ไม่เชื่อถือแล้ว ตนเข้าใจนักข่าวว่าจำเป็นต้องส่งภาพด่วน แต่ถ้าสืบไปแล้วนักข่าวไปบอกให้ลบภาพวงจรปิด ไอ้นักข่าวคนนี้จะติดคุกด้วย พอ ตร.เรียกนักข่าวไปนักข่าวก็ไม่ยอมไป เขามีหมายเรียกไปแล้วมั้ง ผมถามจากผู้บังคับบัญชาก็บอกแบบนี้ ข้อเท็จจริงเป็นยังไงไม่รู้ แต่ถามว่า ถ้าตร.ได้กล้องก่อน ถ้ารู้ก่อนมันไม่จับตาเปี๊ยกหรอก ตร.ก็คงจะรู้ทีหลัง