คู่รักกู้ภัยดับ เซ่นพลุบึ้ม ที่แท้เป็นลูกเจ้าของ
ทีมข่าวได้พบว่า เพจเฟซบุ๊กสมาคมตอบโต้ภัยพิบัติแห่งประเทศไทย ได้มีการเผยแพร่รูปภาพของโรงงานก่อนเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ และนอกจากภาพเปรียบเทียบโรงงานแล้ว ทางเพจยังได้ลงภาพการสูญเสีย 2 อาสากู้ภัยซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าของโรงงานพลุ และแฟนสาว พร้อมข้อความอาลัยทั้งสองคน
ล่าสุดทีมข่าวได้พูดคุยกับนายอัศวิน พรหมมาศ อายุ 40 ปี เลขานายกสมาคมร่วมใจส่วนแตง จ.สุพรรณบุรี เผยว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีรุ่นน้องอาสาของตน คือ นายธนากร (ลูกชายเจ้าของโรงงาน) และ นางสาววรัญญา (แฟนสาวของลูกชายเจ้าของโรงงาน) เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายนั้น ได้เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่อาสาของสมาคมร่วมใจสวนแตง จ.สุพรรณบุรี ตั้งแต่ก่อนช่วงโควิด ประมาณ 3-4 ปี ซึ่งทั้งคู่จะเป็นคอยรับส่งช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยตามเคสต่างๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกัน
จากการที่ตนรู้จักและเป็นหัวหน้างานของทั้งคู่นั้น เขาเป็นคนจิตใจดี ร่าเริง อัธยาศัยดี และชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกคน พอตนทราบข่าวก็รู้สึกตกใจ และพยายาม โทรศัพท์ติดต่อหารุ่นน้องตนหลายครั้งแต่ก็ไม่รับสาย จนกระทั่งมาทราบข่าวว่ารุ่นน้องของตนเสียชีวิตแล้ว ซึ่งตนก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หลังเกิดเหตุตนยอมรับว่ามีโอกาสเจอกับเจ้าของโรงงานซึ่งเป็นพ่อของรุ่นน้องตน ซึ่งขณะนี้สภาพจิตใจของเจ้าของโรงงานค่อนข้างย่ำแย่ เนื่องจากต้องส่งเสียทั้งครอบครัว และทรัพย์สิน
ดั่งปาฏิหาริย์ 1 เดียวที่รอด เพราะเสียงโทรศัพท์
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางน้ำฝน อายุ 46 ปี ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิดในสุพรรณบุรี เปิดเผยถึงเหตุที่รอดชีวิตว่า วันเกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ลูกชายโทรมาขอเงิน ซึ่งปกติแล้วลูกชายจะเข้ามาเอาเงินที่โรงงานพลุ แต่วันเกิดเหตุลูกชายกลับไม่เข้ามา และพยายามโทรเร่งให้ตนเอาเงินให้ที่บ้าน
นางน้ำฝน กล่าวว่า ตนจึงขี่รถออกจากโรงงานพลุกลับไปหาลูกที่บ้าน จากนั้นเพียงประมาณ 20 นาที โรงงานพลุก็เกิดระเบิด โดยลูกชายอีกคนโทรมาถามว่าอยู่โรงงานพลุหรือเปล่า พอตนบอกไม่ได้อยู่โรงงานแต่อยู่ที่บ้าน ลูกชายคนที่โทรหาก็รีบมาหาแล้วร้องไห้ทันที ตนถึงได้รู้ว่าโรงงานพลุที่ตนทำงานอยู่ระเบิด แต่แม่ของตนและน้าสะใภ้ รวมถึงญาติ ๆ และคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในโรงงานพลุเสียชีวิตทั้งหมด
นางน้ำฝน กล่าวด้วยว่า ตนเองทำงานประกอบพลุลูกบอลมา 16 ปี ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์พลุระเบิดแต่ที่ไม่เลิกทำ เพราะครอบครัวก็ไม่ได้มีรายได้อะไรมาก การทำงานโรงงานพลุเป็นรายได้หลักที่นำมาหาเลี้ยงครอบครัว
หากถามถึงสาเหตุของการระเบิดในครั้งนี้ ส่วนตัวตนก็ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ตนคาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องมาจากวัตถุดินปืน ที่ใช้ในการประกอบทำพลุมากกว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับสายไฟฟ้าอะไร เนื่องจากโรงงานดังกล่าวไม่มีการเดินสายไฟฟ้าภายในโรงงาน อีกทั้งโครงสร้างของโรงงานนั้นมีลักษณะโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีเพียงโครงสร้างเหล็กมุงหลังคา เพื่อกันความร้อนเท่านั้น
ในส่วนดินปืนระเบิดนั้น ส่วนตัวตนก็ไม่ทราบว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีการแบ่งแผนกตามความรับผิดชอบแตกต่างกันออกไป ตนเพียงมีหน้าที่นำดินประสิวมาบรรจุพลาสติกทรงกลมที่ขายลูกบอลเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาทางโรงงานก็ได้มีมาตรการกำชับความปลอดภัยในทุกๆ เรื่องทำให้เกิดที่จะทำให้เกิดประกายไฟ เช่น ระมัดระวังเครื่องมือทุกอย่างไม่ให้กระทบกับดินที่อยู่บนพื้นเพราะดินเหล่านั้น จะก่อให้เกิดประกายไฟได้ หากได้รับการกระทบกระเทือนได้ ตรวจเช็กเครื่องมืออุปกรณ์และทำความสะอาดพื้นทุกครั้งก่อนเข้างานและหลังเลิกงาน นอกจากนี้ทางเจ้าของโรงงานยังมีการกำชับพนักงานทุกคนว่าห้ามใช้โทรศัพท์ในที่ทำงานรวมถึงห้ามจุดไฟหรือใช้วัตถุที่ก่อให้เกิดประกายไฟแต่อย่างใด
รับแล้ว 8 ศพ กระจายคืนญาติบำเพ็ญกุศล
หลังจากที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลตั้งแต่เวลาประมาณ 09.30 น. จนถึง 17.00 น. จนถึงขณะนี้นานกว่า 9 ชั่วโมง ได้ประกาศรายชื่อผู้เสียชีวิตที่สามารถให้ญาตินำเอกสารยืนยันมารับร่างกลับไปบำเพ็ญกุศลได้ทั้งหมด 8 ราย ประกอบด้วย นางพเยาว์, นายสมควร, นางรำไพ และนายโสภณ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเครือญาติกัน ทางครอบครัวจะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดโรงช้าง
ส่วนนางสาวน้ำฝน ทางครอบครัวนำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดโป่งไหมวราราม จังหวัดกาญจนบุรี นายรุ่งโรจน์ ทางครอบครัวรับกลับไปบำเพ็ญกุศลที่ วัดพระธาตุ สวนแตง
นายวิชาญ ทางครอบครัวรับกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดขวาง โดยนายวิชาญ มีภรรยาคือ นางสาวพรทิพย์ ที่เสียชีวิตและทางเจ้าหน้าที่ยังพิสูจน์อัตลักษณ์ไม่ได้ และร่างสุดท้าย คือนางบุญเกื้อ ทองสัมฤทธิ์ ทางครอบครัวรับกลับไปบำเพ็ญกุศล วัดลาดกระจับ
สำหรับในวันพรุ่งนี้เวลา 08.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 23 รายมาพร้อมกันที่วัดโรงช้าง เพื่อมารับมอบเงิน ช่วยเหลือเยียวยารายละ 10,000 บาท จากนายอุดม โปร่งฟ้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยใช้เงินส่วนตัวบริจาคช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต
ล่าสุดบรรยากาศที่วัดโรงช้าง ญาตินำศพของนางพเยาว์ นายสมควร นางรำไพ และนายโสพล ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิด 4 ศพ จาก 8 ศพแรก ที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์อัตลักษณ์เสร็จสิ้น และอนุญาตนำศพมาบำเพ็ญกุศลได้
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเครือญาติ และคนหมู่บ้านเดียวกัน จึงตั้งสวนอภิธรรมพร้อมกันทั้ง 4 ศพ โดยบรรยากาศเป็นไปยังโศกเศร้า บรรดาญาติยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่งร้องไห้ และที่น่าสลดใจ คือ นางรำไพ และนายโสพล ผู้เสียชีวิต มีลูกชายวัย 16 ปี และลูกสาว ซึ่งทั้งสองกำลังเรียนหนังสืออยู่ โดยจะมีการสวดอภิธรรม 2 คืน และก็จะเผาในวันเสาร์นี้
ทั้งนี้ ปรากฏว่าเจ้าของโรงงานและลูกสาว ได้เดินทางมาร่วมงานศพด้วยและได้จุดธูปต่อหน้าศพทั้ง 4 ศพ และพบว่าเจ้าของโรงงานก็ร้องไห้เช่นกัน
สำหรับเงินช่วยเหลือ เบื้องต้นประกอบด้วย พม. ช่วยเหลือครอบครัวละ 3,000 บาท ราชประชานุเคราะห์ฯ มีค่าทำศพ 10,000 บาท กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ค่าจัดการศพ 50,000 บาท ทุนเลี้ยงชีพครอบครัว 30,000 บาท มีบุตรไม่เกิน 25 ปี ได้อีก 50,000 บาท ทุนเลี้ยงชีพ กรณีบาดเจ็บสาหัส 30,000 บาท
ส่วนกระทรวงยุติธรรม จะมีคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา (ผู้ว่าฯ เป็นประธาน) พิจารณาช่วยเหลือรายละไม่เกิน 200,000 บาท ท้องถิ่นมีประกาศภัย 29,700 บาท ส่วนถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวจะได้เพิ่มอีกเท่าหนึ่ง ก็คือ 59,400 บาท
ด้าน พล.ต.ต.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้บังคับการศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 ให้สัมภาษณ์หลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ตั้งโรงงานประกอบพลุ บอกว่า ในการตรวจสอบของศูนย์พิสูจน์หลักฐานมีการกำหนดแบบจำลองพื้นที่โรงงาน 1 ไร่ ที่เกิดการระเบิดเป็นโซน A B C D
โดยจากภาพพื้นที่โซน C และ D เป็นจุดที่มีการผลิตพลุ ทั้งการบรรจุ อัดดินปืน และคาดว่าเป็นจุดที่เริ่มเสียดสีจนเกิดการระเบิดก่อน โดยพบหลุมเล็ก ๆ 23 หลุม
จากนั้น สันนิษฐานว่า สะเก็ดไฟอาจจะกระเด็นไปที่โซน B ที่คาดว่าเป็นห้องเก็บดินปืน กำมะถัน และสารเคมีอื่น ๆ ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ขนาด 5x3 เมตร ลึก 1 เมตร ที่โซน B ซึ่งแรงระเบิดจากจุดนี้ ทำให้ร่างผู้เสียชีวิตกระเด็นไปตกในที่นาและคูน้ำ
ส่วนหลุมระเบิดสามารถบอกถึงปริมาณดินที่เป็นวัตถุระเบิดได้ หากหลุมขนาดใหญ่ก็เท่ากับว่ามีดินระเบิดจำนวนมาก จากการประเมินคาดว่าจะมีอย่างน้อย 400-500 กิโลกรัม เฉพาะหลุมใหญ่ อำนาจการทำลายล้างในรัศมีประมาณ 1.5 กิโลเมตร แรงที่ทำให้เสียชีวิตในทันทีประมาณ 100-200 เมตร ส่วนความแน่ชัดว่าเกิดระเบิดจากสาเหตุใด ต้องรอพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบทั้งหมดก่อน แล้วค่อยมาวิเคราะห์กับการตรวจพื้นที่เกิดเหตุนี้จึงจะสามารถระบุได้อย่างชัดเจน