จากกรณีนายสุรชัย อายุ 62 ปี เข้าไปห้ามนายชาคริต อายุ 23 ปี หลานชายเมาเหล้าแล้วร้องไห้เสียงดังในบ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง อ้างว่าเห็นผีสาวมาคุยด้วย ลุงเกรงว่าเสียงร้องไห้จะไปรบกวนชาวบ้าน จึงออกมาปรามหลาน แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ทำให้ตบศีรษะเรียกสติ แต่หลานได้ชกต่อยลุงก่อนเดินร้องไห้ไปตามถนน ลุงได้เดินตาม หลานได้เข้าชกและเตะเสยปลายคางลุง จนหมดสติและเสียชีวิต หลานสารภาพเสพยาบ้า 10 เม็ดก่อนกินเหล้ากับลุง และอ้างว่าลุงขว้างปาก่อนหินใส่ก่อนจึงเข้าไปเตะ เหตุเกิดคืนวันที่ 20 มกราคม 2567 ที่บ้านวัวข้อง ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี
ด้านนายชาคริตผู้ก่อเหตุ ในขณะที่ตำรวจควบคุมตัวมาเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม พบว่า นายชาคริตยังอยู่ในอาการมึนเมาอยู่ ทีมข่าวได้สอบถามเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายชาคริต บอกว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้เสียงแว่ว เป็นเสียงผู้หญิงที่ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นคนรักของตนชื่อนี บอกว่า “จะเอาลุงเป็นแฟน” ตนก็เลยเกิดอาการหึงหวง
แล้วเมื่อเราถามว่า “เป็นแฟนกับผีเหรอ?” เจ้าตัวตอบด้วยสีหน้าอมยิ้มว่า “ครับ”
ส่วนตอนก่อเหตุก็เตะลุงไป 2 ที เพราะหึงที่ผีคนรักปันใจให้ลุง และยอมรับว่าเพิ่งเสพยาบ้ามา 10 เม็ดด้วย แล้วเมื่อถามว่า “อยากขอโทษลุงไหม? เจ้าตัวตอบสั้นๆว่า “ครับ”
นายชาคริต บอกว่า ก่อนก่อเหตุ ตัวเองเห็นผีจริงๆ และเคยมีสัมพันธ์กับผีตนนี้ด้วย วันนี้ก็เลยอยากบอกกับผีว่า “คิดถึง” ที่สำคัญคือ ตัวเองคบหากับผีตนนี้มา 10 ปีแล้ว จึงเกิดอาการหึงหวงพอรู้ว่าผีจะไปเอาลุงทำแฟนอีกคน
ภาพกล้องวงจรปิดที่อยู่ระหว่างแคมป์ที่พักกับจุดเกิดเหตุ เวลา 21.45 น. จะเห็น “นายชาคริต” ผู้ก่อเหตุ วิ่งสลับเดินมาตามถนนบริเวณหน้าวัดอินทราราม ด้วยท่าทีโซเซคล้ายคนเมา หันมองหน้ามองหลังตลอด แล้วไม่นานก็จะเห็น “นายสุรชัย” ผู้ตายวิ่งตามหลังมา พร้อมกับพยายามกวักมือเรียกให้นายชาคริต หยุด แต่เมื่อนายชาคริตเห็น กลับวิ่งหนีทันที ทำให้ผู้ตายต้องวิ่งตามไปเรื่อยๆ จนผ่านหน้าวัด ผ่านหน้าบ้านคน ซึ่งถ้าสังเกตจะเห็นว่า นายสุรชัยเองก็มีบางจังหวะที่โซเซคล้ายคนเมาเหมือนกัน
ต่อมาเวลา 22.02 น. หลังจากนายชาคริต ก่อเหตุเสร็จ ก็เดินวนกลับมาที่บริเวณกำแพงวัด
ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณบ้านตรงข้ามกับไซด์งานก่อสร้างดังกล่าว จากภาพเวลา 21.35 น. จะได้ยินเสียงนายชาคริต เริ่มร้องไห้เสียงดัง พร้อมกับพูดคำว่าขอโทษอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะพูดวกไปวนมาจับใจความไม่ได้ชัด ซึ่งภายในคลิปจะได้ยินเสียงผู้ตายกับภรรยาอยู่เป็นระยะ
ภาพจากกล้องวงจรปิดมุมเดิม เวลา 22.17 น. จะได้ยินเสียงไซเรนจากรถกู้ภัยดังขึ้นใกล้กับจุดเกิดเหตุ
ภาพจากกล้องวงจรปิดมุมเดิม เวลา 22.18 น. จะเห็นรถกู้ภัยเปิดไซเรนขับผ่านหน้าบ้านไปทางซ้ายยังจุดเกิดเหตุ
ทีมข่าวไปสอบถาม นางชลิดา อายุ 39 ปี ที่มีบ้านอยู่ติดกับจุดเกิดเหตุและเป็นคนเห็นเหตุการณ์ เล่าให้กับทีมข่าวของเราฟังว่า ช่วงดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา ตัวเองนอนอยู่ในบ้านกับสามีแต่ได้ยินเสียงคนร้องไห้จึงออกมาดู
ก็เห็นนายชาคริตคนที่เป็นหลานเดินร้องไห้ผ่านหน้าบ้าน โดยมีนายสุรชัยคนที่เป็นลุงเดินตามหลังไล่ตามกันมา เราก็ได้ยินเสียงนายสุรชัยบอกกับหลานว่า “อย่าร้องไห้ ให้กลับบ้าน มันเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านคนอื่น” แต่หลานไม่ยอมกลับไป นายสุรชัยจึงเดินไปอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุ ที่อยู่ใกล้กับหน้าบ้านของผู้เห็นเหตุการณ์ แล้วสักพักนึงนายชาคริตคนเป็นหลานก็เดินกลับไป ทั้งคู่เริ่มมีปากเสียงแล้วชกต่อยกันจนทำให้นายสุรชัยล้มลง
หลังจากนั้น นายชาคริตคนที่เป็นหลานก็เดินร้องไห้กลับมายังบริเวณหน้าบ้านของนางชลิดาผู้เห็นเหตุการณ์อีกครั้ง แล้วก็เดินกลับไปบริเวณจุดที่นายสุรชัยล้มลงอยู่ แต่กลับไปรอบนี้นายชาคริตก็กลับไปเตะเสยคางนายสุรชัยที่นั่งอยู่กับพื้น หลังจากนั้นนายสุรชัยก็สลบไปเลย พ่อหน่วยกู้ภัยและเจ้าหน้าที่มาก็พบว่านายสุรชัยเสียชีวิตแล้ว
ส่วนตัวนายชาคริตเองก็ไม่ได้หนีไปไหน แต่ก็ไม่ยอมพูดจาอะไรนอกจากร้องไห้อย่างเดียว ลักษณะเหมือนคนเมาแล้วเกิดอาการหลอนจนคลั่ง
ในขณะที่นายชาคริตคนที่เป็นหลานเดินไปมานั้น นางชลิดาก็ได้ยินเสียงเหมือนนายชาคริตพูดเหมือนมีคนจะมาทำร้ายทั้งๆ ที่ไม่มีใคร
ด้าน น.ส.นภาภร อายุ 44 ปี แม่ผู้ก่อเหตุ และเป็นน้องสาวของนายสุรชัยผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ลุงกับป้าอยากให้ลูกชายมาช่วยทำงานรับเหมา เพราะว่าแกไม่มีคนช่วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คิดว่าลูกชายจะทำเช่นนี้ แต่ยอมรับว่าลูกชายป่วยเป็นโรคจิตเวชหลังเสพยาเสพติด รักษาอาการมาตั้งแต่ปี 2560 แต่หลังๆ ขาดยา รวมทั้งยังมีการเสพยาเสพติดอยู่และดื่มเหล้า
ซึ่งเวลาเมาลูกชายมักจะชอบร้องไห้บ่นโวยวายเสียงดัง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมรุนแรงเคยทำร้ายแม่เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย
และล่าสุดตอนเที่ยงที่ไปเยี่ยมลูกชายที่ สภ.เมืองอุดรธานี ตอนนี้ลูกชายก็ได้สติแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีสำนึกผิด ไม่ยอมขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป ยังบอกกับตนอีกว่า ลุงมาทำก่อน หลังจากนี้ตนคงจะไม่ยื่นประกันตัว
ในขณะที่เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ภรรยาและญาติของนายสุรชัยได้มามายังบริเวณจุดเกิดเหตุ จุดธูปเพื่อทำพิธีเชิญดวงวิญญาณนายสุรชัยกลับบ้านเกิดในจังหวัดหนองคาย
โดยนางมณีวรรณ อายุ 56 ปี ภรรยาผู้ตาย ได้จุดธูปพร้อมกับนำของหวาน น้ำแดง และส้ม มาวางไว้จุดที่นายสุรชัยเสียชีวิต แล้วพูดเป็นภาษาอีสานบอกว่าขอให้นายสุรชัยกลับบ้านนะ
นางมณีวรรณ เล่าว่า ตนกับผู้ตายอยู่กินฉันสามีภรรยาได้ 1 ปี ก่อนหน้านี้ผู้ตายและตนมารับเหมาทำรั้วในหมู่บ้านจัดสรร โดยปลูกเพิงพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งกำลังก่อสร้าง ต่อมาผู้ตายได้โทรเรียกให้นายชาคริตหลานชายมาช่วยทำงานได้ 2 วันก่อนเกิดเหตุ หลังเลิกงานผู้ตายกับหลานได้นั่งดื่มเหล้าด้วยกันที่หน้าเพิงพัก ส่วนตนเข้านอนแล้ว
ส่วนนายสุรชัยก็นั่งคุยโทรศัพท์กับญาติเกี่ยวกับเรื่องการทำนาข้าวปีนี้ ขณะนั้นจู่ๆ นายชาคริตก็นั่งร้องไห้ขึ้นมาเสียงดัง ซึ่งก่อนหน้านี้มีญาติบอกตนว่าอย่าซื้อเหล้าให้นายชาคริตกิน เพราะเมาแล้วจะร้องไห้
นายสุรชัยจึงเข้าไปถามว่าร้องทำไม นายชาคริตบอกว่ามีผีผู้หญิงมาพูดด้วย บังคับจะให้แก้ผ้า นายสุรชัยจึงคิดว่านายชาคริตมีอาการหลอน จึงบอกให้หยุดร้องไห้ โตแล้วอายเขา เพราะเกรงว่าชาวบ้านจะรำคาญ แต่ก็ไม่หยุดร้อง
นายสุรชัยโมโหจึงตบศีรษะนายชาคริต ทำให้ทะเลาะมีปากเสียงกัน นายชาคริตจึงได้ถอดเสื้อโดดข้ามกำแพงเดินร้องไห้ไปตามถนน นายสรุชัยจึงเดินตาม จนไปเกิดเหตุและเสียชีวิต
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเชื่อว่าหลานชายทำลงไปเพราะเมาสุรา ไม่ใช่อาการหลอนยาเสพติดแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มองไม่เห็นที่หลานพยายามบอกว่าเห็นผีผู้หญิง ส่วนตัวก็เชื่อว่าอาจจะมีจริง
สุดท้ายตนอโหสิกรรมให้หลานชาย คิดว่าหลานคงเป็นคู่เวรคู่กรรมของสามี และสามีคงมีบุญได้ใช้ชีวิตแต่เพียงเท่านี้ วันนี้จึงมาทำพิธีเชิญวิญญาณดังกล่าว ฝากบอกดวงวิญญาณสามีเป็นครั้งสุดท้ายว่า "รัก สงสาร แกเป็นคนซื่อ แกไม่มีใคร ลูกคนเดียวก็ไม่เคยมาหา ช่วยกันทำมาหากินด้วยกันมา สงสารแกจับใจ กลับบ้านเราเด้ออ้าย กลับบ้านเรา"