จากกรณีหลังจากผลชันสูตรออกมาอย่างชัดเจนว่า การตายของ น.ส.ปนิฐิ หรือเจ๊ม่วย อายุ 77 ปี เป็นฆาตกรรมอำพราง พลตำรวจตรีผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ได้นำกำลังชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี และชุดสืบสวนตำรวจภูธรมะขาม รวมถึงเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดจันทบุรี เข้าไปตรวจสอบในบ้านของผู้ตายอีกครั้ง ซึ่งในระหว่างเข้าตรวจสอบ ตำรวจได้สอบสวนนางนงนุช ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้ตายว่า เมื่อวานนี้ก่อนพบศพและหลังพบศพ มีใครเข้ามาในบ้านบ้างหรือไม่ ซึ่งการพูดคุยจะได้ยินแต่เสียงตำรวจสอบถาม เพราะนางนงนุชพูดเบา ซึ่งในการเข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน ตำรวจไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปภายในบ้าน และยังไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกับตำรวจไปพบอะไรเพิ่มเติมภายในบ้านบ้างแล้วหรือไม่
ล่าสุดวันนี้ (24 ม.ค.67) ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามความคืบหน้าทางคดีในพื้นที่ สภ.มะขาม จ.จันทบุรี โดยในช่วงเช้า ทีมข่าวได้เดินทางย้อนไปยังบ้านของเจ๊ม่วย ผู้ตายอีกครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบพื้นที่รอบๆ บ้านในวันนี้ ที่หน้าบ้านตรงจุดต้องสงสัยที่พบรองเท้าและคราบน้ำ มีกล้องวงจรปิดติดไว้ที่หน้าบ้านทั้งหมด 3 มุม
ส่วนบริเวณริมกำแพงทางเข้าสวน ซึ่งจะเป็นด้านข้างบ้านที่ติดกับพื้นที่ที่กำลังก่อสร้าง จะเป็นกำแพงที่มีความสูงไม่เท่ากัน ซึ่งกำแพงที่ติดอยู่กับทางเข้าสวน จะเป็นกำแพงที่มีความสูงประมาณ 2 เมตร 50 เซนติเมตร ส่วนขอบกำแพงที่อยู่ติดกับสวนจะมีความสูงประมาณ 2 เมตร 20 เซนติเมตร ซึ่งจุดดังกล่าวจากการตรวจสอบ ไม่มีกล้องวงจรปิดหันมาที่กำแพง และจะมีช่อง ขอบของก้อนอิฐที่สามารถมองลอดเข้าไปเห็นทุกการเคลื่อนไหวภายในบ้านของผู้ตายได้ แต่ปีนข้ามกำแพงขึ้นไปได้ยาก ถ้าหากไม่มีคนช่วยหรือมีเก้าอี้วางเหยียบขึ้นไป
ส่วนบริเวณด้านหลังของบ้าน วันนี้เท่าที่ทีมข่าวไปเดินสำรวจ พบว่าที่ด้านบนของบ้านที่อยู่ติดกับสวนผลไม้ จะเป็นห้องเก็บของของผู้ตาย โดยจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่อีก 1 ตัว แต่มุมกล้องจะกดลงและส่องไปแค่ภายในบ้าน
จากนั้น ทีมข่าวได้เดินเลาะไปต่อที่กำแพงข้างบ้านฝั่งที่ติดกับสวนยาง ซึ่งจากการตรวจสอบที่กำแพง จุดดังกล่าวจะอยู่ติดกับห้องเก็บอุปกรณ์การทำสวนของผู้ตาย ที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าไปเก็บหลักฐานเมื่อคืนนี้ และจะมีกล้องตัวที่ 5 ติดอยู่ที่ข้างบ้าน
จากการสังเกตของทีมข่าว กล้องตัวนี้จะส่องไปที่สวนยาง โดยวันนี้ทีมข่าวได้นำโทรศัพท์มือถือ ยืนถ่ายคลิปมาจากจุดที่กล้องติดอยู่ พบว่ามุมกล้องที่ส่องออกไปจะเป็นมุมที่ส่องไปถึงสวนยาง และส่องไปที่ริมกำแพงที่ติดอยู่กับสวนผลไม้ของผู้ตาย
โดยจุดดังกล่าวนอกจากจะมีกล้องส่องไปทางสวนยางของเพื่อนบ้าน จากการตรวจสอบพบว่า ริมกำแพงฝั่งที่ติดกับสวนยาง จะอยู่ห่างจากบ้านของนางสมพร อดีตคนงานของผู้ตายประมาณ 50 เมตร และใกล้กันกับกำแพงบ้าน จะมีแท่นปูนล้างรถที่ไม่ได้ใช้การนานแล้วอยู่ติดกับกำแพงบ้านของผู้ตาย
วันนี้ทีมข่าวได้ทดลองเดินข้ามมาจากบ้านพักคนงานสวนยางไปที่แท่นปูน พบว่า หากเดินขึ้นไปก็จะสามารถชะโงกหน้ามองเข้าไปในบ้านของผู้ตายได้ และวันนี้ทีมข่าวก็ได้ทดลองที่จะพยายามปีนข้ามเข้าไปแต่ปรากฏว่า ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ถ้าไม่มีเก้าอี้หรือมีคนช่วยให้ปีนข้ามไปยังบ้านของผู้ตาย
ขณะเดียวกัน วันนี้เมื่อเวลา 16.15 น. ตำรวจชุดสืบสวน พร้อมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้คุมตัวนายกิต อายุ 40 ปี เป็นผู้ต้องสงสัยที่ร่วมกันฆ่าเจ๊ม่วย ขึ้นรถตู้ไปบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ตำบลปัถวี ในอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเมื่อคุมตัวไปถึงบ้าน ตำรวจและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้นำตัวนายกิต เข้าไปในบ้านประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเท่าที่สังเกตอยู่ภายนอกบ้าน ตำรวจมีการนำเสื้อผ้าของนายกิต ออกมาดู และตามข้อมูล ตำรวจมีการนำเสื้อผ้าชุดที่นายกิตใส่ในช่วงวันเกิดเหตุ กลับไปตรวจสอบจำนวน 1 ชุด
จากนั้นในจังหวะที่มีการตรวจค้นกันอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานบางส่วนก็ได้เปิดรถกระบะตู้ทึบของนายกิต ที่จอดเอาไว้หน้าบ้าน โดยมีการถ่ายรูปและเก็บหลักฐานบางอย่างออกไปจากในรถ จากนั้นตำรวจได้ไปเปิดประตูที่ท้ายรถของนายกิต แล้วก็มีการถ่ายรูปเก็บหลักฐานเอาไว้ ซึ่งเท่าที่สังเกต ภายในตู้ทึบมีสิ่งของเป็นกล่องอยู่ภายในรถ และมีการไปเก็บ DNA รอบๆ รถของนายกิต ซึ่งในการตรวจค้นดังกล่าว ภายในบ้านก็จะมีนายไกรสร พ่อของนายกิต อยู่ภายในบ้านตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อตำรวจและ พฐ.เก็บหลักฐานเสร็จ ก็ได้มีการคุมตัวนายกิต ออกมาขึ้นรถ ซึ่งเท่าที่ทีมข่าวสังเกต ตัวนายกิตมีสีหน้าเคร่งเครียด สวมหน้ากากอนามัยและถือน้ำดื่ม 1 ขวดในมือตลอด
จากนั้นในระหว่างที่ตำรวจคุมตัวกลับไปถึงโรงพัก นักข่าวที่รออยู่ ก็ได้มีการพยายามเข้าไปสอบถามกับตัวนายกิต ว่าทำหน้าที่อะไรในเหตุการณ์ฆ่าเจ๊ม่วย แต่ทันทีที่ตำรวจคุมตัวลงมาจากรถ ตำรวจพานายกิตวิ่งหนีสื่อขึ้นไปบนห้องสืบสวนทันที โดยตำรวจให้ข้อมูลเบื้องต้นกับนักข่าวว่า ตัวนายกิต เป็นผู้ต้องสงสัยที่เป็นนกต่อในกระบวนการฆ่าเจ๊ม่วย แต่ยังไม่ได้สอบปากคำอย่างละเอียดว่าทำหน้าที่อะไรบ้างในวันเกิดเหตุ ซึ่งในขณะนี้ ตำรวจอีกชุดกำลังไปไล่ตามจับกุมหัวหน้าขบวนการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าในขณะนี้กำลังเดินทางข้ามประเทศเพื่อหลบหนี
ขณะเดียวกัน วันนี้ หลังตำรวจคุมตัวนายกิตไปที่โรงพัก ทีมข่าวได้ย้อนกลับไปพูดคุยกับนายไกรสร อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นพ่อของนายกิต ผู้ต้องสงสัย บอกกับทีมข่าวว่า ลูกชายเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อเจ๊ปุ้ย ซึ่งเจ๊ปุ้ยมีธุรกิจทำสวนผลไม้อยู่ในพื้นที่ตำบลมะขาม โดยคืนวันที่ 19 มกราคม ยอมรับว่าได้ยินเสียงลูกชายคุยโทรศัพท์กับเจ๊ปุ้ย จากนั้นเจ๊ปุ้ยก็มีการให้ลูกชายขี่รถจักรยานยนต์ออกไปรับ ซึ่งก่อนที่ลูกชายจะขี่รถออกไป ตนเองได้ยินเสียงเจ๊ปุ้ย พูดกับลูกชายว่า จะไปทวงเงินกับเจ๊ม่วย เนื่องจากเจ๊ม่วย ยืมเงินไปเป็นล้านและยังไม่คืนเงินให้ จากนั้นก็เห็นลูกชายขี่รถจักรยานยนต์ออกไปจากบ้าน กระทั่งลูกชายออกไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ลูกชายก็ขี่รถกลับมาที่บ้านแล้วก็เข้าไปนอนในห้อง ซึ่งวันนั้นยืนยันว่าลูกชายไม่ได้มีพิรุธอะไร โดยเท่าที่จำได้ ตอนกลับมาพ่อถามว่าออกไปทำอะไรมา แต่ลูกชาย ตอบแค่ว่าไปส่งเจ๊ปุ้ย
จนกระทั่งวันนี้ ประมาณ 6 โมงเช้า จู่ๆ ตำรวจก็เข้ามาเชิญตัวลูกชายถึงห้องนอนไปสอบปากคำ ซึ่งพ่อก็ตกใจ ก็เลยตามไปที่โรงพัก แต่พอไปถึงตำรวจก็ไม่ยอมบอกว่าคุมตัวลูกชายมาเรื่องอะไร กระทั่งช่วงสายก่อนจะนำตัวมาค้นที่บ้าน ตำรวจบอกกับพ่อว่าลูกชาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเจ๊ม่วย ยอมรับเมื่อพ่อได้ยินก็รู้สึกตกใจ จึงอยากจะให้ตำรวจออกมาบอกข้อมูลให้ชัดเจนว่าลูกชาย ไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยังไง ทั้งๆ ที่ผ่านมา ลูกชายเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า จึงไม่เชื่อว่า ลูกชายไม่กล้าไปก่อเหตุแน่นอน
ส่วนเรื่องความเชื่อร่างทรงหรือลัทธิ ยืนยันที่ผ่านมา ลูกชายไม่เคยไปนับถืออย่างอื่นนอกจากการไปทำบุญและกราบไหว้พระ ส่วนเจ๊ปุ้ย เท่าที่ลูกมาเล่าให้ฟัง เจ๊ปุ้ยเป็นคนเชื่อเรื่องร่างทรง แต่ไม่รู้ว่าลูกชายจะเคยไปไหนกับเจ๊ปุ้ยหรือไม่ ส่วนเรื่องรถตู้ทึบที่ตำรวจนำไปตรวจสอบ ยืนยันช่วงวันเกิดเหตุลูกชายไม่ได้ขับรถคันนี้ออกไปไหน
ขณะเดียวกันวันนี้ นอกจากเรื่องกล้องภายในบ้านของผู้ตาย ช่วงสายของวันนี้ตำรวจชุดสืบสวน สภ.มะขาม ยังมีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในพื้นที่ส่วนบุคคลที่กำลังมีการก่อสร้าง ซึ่งจะอยู่ติดกันกับพื้นที่สวนผลไม้ของผู้ตาย โดยจุดดังกล่าว ตำรวจมีการนำบันไดปีนขึ้นไปถอดเมมโมรี่การ์ดทั้งหมด 3 จุด ซึ่งจุดที่ 1 จะเป็นกล้องวงจรปิดที่ส่องออกมาตรงถนนและกล้องตัวนี้จะอยู่ก่อนจะถึงสวนผลไม้ของผู้ตายประมาณ 400 เมตร ส่วนกล้องตัวที่ 2 ที่ตำรวจไปถอดเมมโมรี่การ์ด จะอยู่เข้าไปภายในพื้นที่ด้านใน ส่วนกล้องจุดที่ 3 ที่ตำรวจนำบันไดขึ้นไปถอดเมมโมรี่การ์ด จะเป็นกล้องที่ส่องไปรอบทิศทางและจะอยู่ห่างจากสวนผลไม้ของผู้ตายประมาณ 150 เมตร โดยการถอดเมมโมรี่การ์ดในจุดนี้ ทีมข่าวสังเกตเห็นว่าตำรวจ มีการบันทึกภาพการถอดเมมโมรี่การ์ดเอาไว้ทุกมุมที่ตำรวจอีกคนกำลังขึ้นบันไดไปถอดเมมโมรี่การ์ด
สืบเวลาตายเศรษฐินี จากหม้อหุงข้าวดิจิทัล
ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับนายธวัชชัย ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวท้องถิ่นจันทบุรี และเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัย ที่ตำรวจ สภ.มะขาม ประสานให้ตัดกุญแจบ้านของเจ๊ม่วย วันนี้ได้มีการเขียนแผนผังภายในบ้านเจ๊ม่วยให้ทีมข่าวดู และพิรุธต่างๆ ว่า ในจุดที่ตัดกุญแจจุดแรกเป็นประตูรั้วด้านนอก ติดกับปั๊มร้าง ผ่านเข้าไปเป็นประตูรั้วชั้นสองไม่ได้ล็อก แล้วก็เป็นชานพักหน้าบ้าน มีตู้เสื้อผ้าเปิดอ้าอยู่ มีรองเท้าถอดไว้ 1 คู่ มีคราบน้ำอะไรสักอย่างเจิ่งนอง
และประตูบ้าน 2 ชั้น มีประตูม้วนเหล็กกับประตูไม้ แต่ประตูม้วนเหล็กถูกล็อกก็ต้องตัดกุญแจออก เข้าไปในบ้านห้องโถงมีข้าวของเต็มพื้นที่ ด้านขวาเป็นห้องครัวยังเปิดไฟทิ้งไว้ และมีอาหาร และหุงข้าวด้วยหม้อดิจิทัลซึ่งทำงานอยู่
ส่วนบริเวณที่ขึ้นไปชั้นสองมี 3 ห้อง โดยตัวเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดจะอยู่ที่ห้องนอนใหญ่ มีประตูเหล็กดัด และประตูไม้ ประตูเหล็กดัดถูกล็อกจากแม่กุญแจด้านใน ซึ่งเข้าไปจะเห็นเคาน์เตอร์วางจอทีวี และพบเพียงสายแลนเหมือนถูกกระชากออก แต่หัวเสียบน่าจะติดไปกับตัวเซิร์ฟเวอร์ ข้างบนไม่มีร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ประตูล็อกแน่นหนาเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าเป็นฝีมือคนก่อเหตุที่ล็อกเอาไว้แบบนี้ แล้วเอาพวงกุญแจไปด้วย
ส่วนเรื่องหม้อหุงข้าวที่เจ๊ม่วยผู้ตายเสียบเอาไว้ เท่าที่สอบถามกับตำรวจที่ลงพื้นที่ไปพร้อมกันในวันที่พบศพ พบว่าหมอหุงข้าวที่เป็นหม้อแบบดิจิทัล สามารถจับเวลาในการเสียบปลั๊กทิ้งไว้ประมาณ 60 ชั่วโมง ทำให้ตำรวจไล่ไทม์ไลน์ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาที่สอดคล้องกันกับสัญญาณโทรศัพท์ของเจ๊ม่วยที่หายไปในช่วงเวลาเดียวกัน จึงคาดว่า เจ๊ม่วยผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ก็คือช่วงเวลา 16.00 น. ของวันที่ 19 มกราคม แต่จะยังไม่ทราบเวลาที่แท้จริงว่าเจ๊ม่วยถูกสังหารกี่โมง
เศรษฐินีก่อนตาย สนิท “คนตายแล้วฟื้น” สงสัยถูกสูบเงินสิบล้าน
หลังจากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับนางลัชชา น้องสาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนเป็นคนแรกที่พบศพของพี่สาว สภาพศพนอนคว่ำในบ่อน้ำ ทีแรกไม่สงสัยว่าพี่สาวถูกฆาตกรรม คิดว่าเดินตกบ่อน้ำเสียชีวิต เพราะพี่สาวเคยเป็นลมมาก่อน แต่น้องสาวอีกคนสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรม จึงยังไม่ให้ใครยุ่งกับศพของพี่สาว ซึ่งตนเองอยู่คนละที่กับพี่สาวจึงไม่ทราบว่าพี่สาวนั้นมีปัญหาอะไรกับใคร ก่อนจะเจอศพทางครอบครัวไม่สามารถติดต่อกับพี่สาวได้ 3 วัน รู้สึกใจไม่ดีจึงขับรถมาตรวจสอบที่บ้านของพี่สาว ก็พบว่าพี่สาวนอนเสียชีวิตอยู่ในบ่อน้ำ
ส่วนปมที่พี่สาวถูกฆาตกรรมน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน เพราะที่ผ่านมาพี่สาวไม่เคยยืมเงินใครมาก่อนเลย แต่เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2566 พี่สาวได้มายืมเงินตน เป็นจำนวน 600,000 บาท พร้อมกับบอกว่าจะโอนเงินคืนให้ตอนสิ้นเดือน หลังจากนั้นวันที่ 30 สิงหาคม 2566 จึงติดต่อมาขอยืมเงินอีก
หลังจากนั้นพี่สาวจึงได้เขียนเช็คคืนเงินจำนวน 600,000 บาท พร้อมกับให้ดอกเบี้ยตนเองเป็นเงินจำนวน 19,000 บาท ซึ่งตนไม่ได้จะคิดดอกกับพี่สาว จึงตั้งใจว่าจะเอาเงิน 19,000 บาทมาคืน แต่ไม่ได้เดินทางมาเพราะพี่สาวเสียชีวิตเสียก่อน ตนจึงเตือนพี่สาวไปว่าถูกหลอกหรือเปล่า พี่สาวอ้างว่าเงินที่ขอยืมไปเอาไปช่วยเหลือคนที่เค้าตายแล้วฟื้นเพื่อเอาไปรักษาตัว ต้องฉีดยาเข็มละหลายแสน พี่สาวต้องการเอาเงินไปช่วยเหลือคนป่วยที่อยู่ที่โรงพยาบาล
ซึ่งหลังจากที่เธอโอนเงินให้พี่สาวไป เธอไม่รู้เลยว่าพี่สาวเอาเงินไปใช้อะไรบ้าง และพี่สาวก็ไม่ยอมบอกด้วยว่าใครเป็นคนที่มายืมเงินไป พี่สาวบอกเพียงว่าเค้าไม่โกงหรอกเดี๋ยวเค้าก็ใช้คืน เธอจึงพยายามเตือนพี่สาวว่าอย่าเปิดประตูบ้านรับใคร เพราะว่าพี่สาวอยู่บ้านเพียงคนเดียว
ส่วนกล้องวงจรปิดในบ้านที่หายไป เธอก็เป็นคนดำเนินการติดกล้องวงจรปิดให้กับพี่สาวเอง ซึ่งพี่สาวมีเงินในบัญชีประมาณ 50 ถึง 70 ล้านบาท เงินทั้งหมดเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของพี่สาวที่ทำงานหามาได้ โดยล่าสุดวันที่ 1 มกราคม 2567 ก่อนที่พี่สาวจะเสียชีวิตได้มาขอยืมเงินเธออีก 600,000 บาทแต่เธอไม่ได้ให้ไป พร้อมกับอ้างว่าจะโอนเงินไปให้กับคนรักษาตัว เธอจึงถามไปว่าคนนี้เป็นใครระวังเขาหลอกหลอกนะ โดนป้ายยาหรือเปล่า ส่วนตัวเธอชื่อว่าเป็น 18 มงกุฎแน่ ซึ่งพี่สาวเคยบอกว่าไปรู้จักกับคนนี้ที่ไหน แต่เธอนั้นจำไม่ได้ ซึ่งพี่สาวของเธออยากได้ดอกของเงินเก่าคืน ก็มีการเอาที่ไปจำนองเพื่อเอาเงินเก่าที่เธอให้ไปมาคืนให้กับเธอ ซึ่งเธอนั้นไม่ได้สงสัยในประเด็นอื่นนอกจากประเด็นนี้ เธอจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งจับกุมตัวผู้กระทำความผิดที่เป็นฆาตกรฆ่าพี่สาวของเธอมาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ได้โดยเร็ว
ส่วนครอบครัวของเธอนั้น ใช้นาม “โกศลานันท์” เป็นตระกูลใหญ่เก่าแก่ในจังหวัดจันทบุรี มีความเกี่ยวข้องเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกับครอบครัวที่เคยเป็นข่าวเรื่องปมพิพาทมรดกที่ดินจนถึงขั้นมีการใช้อาวุธปืน ทำร้ายกันบนศาลจังหวัดจันทบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย แต่อีกทั้งครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้
จากนั้น ทีมข่าวเดินทางไปพูดคุยกับเจ๊แดง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเจ๊ม่วย ผู้ตายอีกครั้ง ว่ารู้เรื่องที่มีคนมายืมเงินเจ๊ม่วย หรือไม่ แต่เจ๊แดง ตอบคำถามว่าไม่เคยรู้เรื่อง ไม่เคยรู้จักกับกลุ่มคนตายแล้วฟื้น เนื่องจากที่ผ่านมาเจ๊ม่วย ไม่เคยพูดเรื่องการเงินให้ฟัง และที่ผ่านมาก็ไม่เคยรู้ว่าเจ๊ม่วยจะเอาที่ดินหรือเบิกเงินไปให้ใครบ้าง ซึ่งส่วนตัวได้เจอกับเจ๊ม่วยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 มกราคม เนื่องจากวันนั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน ส่วนวันอื่นๆ ถามว่าเจ๊ม่วย เวลาเขาจะออกจากบ้านไปซื้อของ ที่ผ่านมาเจ๊ม่วยไม่ค่อยออกจากบ้าน นานๆ จะออกไปตลาดเพื่อไปซื้อของกินมาตุนเอาไว้
ส่วนบ้านหลังอื่นๆ ของเจ๊ม่วย เท่าที่รู้บ้านเดี่ยวข้างสหกรณ์ ในตำบลมะขาม เป็นบ้านที่เจ๊ม่วย ไปยึดมาจากคนที่เคยร่วมลงทุนทำธุรกิจปั๊มน้ำมันด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาติดเงินกันเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องคดีที่ตำรวจเรียกไปสอบ ตำรวจถามแต่เรื่องธรรมดาไม่ได้ถามอะไรมาก ยืนยันที่ผ่านมาไม่เคยรู้เรื่องเงินของเจ๊ม่วย และก็ไม่เคยเห็นกลุ่มคนที่ตายแล้วฟื้นเขามาที่บ้านของเจ๊ม่วย ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดภายในบ้าน ยอมรับว่ามีติดไว้หลายตัวแต่ไม่เคยสังเกตว่าติดอยู่ตรงไหนบ้าง ส่วนเรื่องเงินระหว่างเจ๊ม่วยกับตนเอง ที่ผ่านมายอมรับว่าเจ๊ม่วยเคยจะให้ตนเองยืมเงิน แต่ตนเองไม่เอา เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นหนี้ไปทำไม ที่สำคัญตนเองมีเงินอยู่แล้ว แต่มีหลักแสนไม่ได้มีหลักล้านเหมือนเจ๊ม่วย จะถามยังไงก็ตอบได้แต่ไม่รู้ ซึ่งสรุปแล้วการมาพูดคุยกับเจ๊แดง ทีมข่าวได้คำตอบส่วนใหญ่คือคำว่า ไม่รู้ จากนั้นเจ๊แดง ก็ขี่รถออกไปจากบ้านอ้างว่ามีธุระ
พลิกคดีเก่าปี 62
นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 มีการยิงกันหน้าบัลลังก์ศาล จ.จันทบุรี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เจ็บ 3 ราย และผู้ก่อเหตุเสียชีวิตภายหลัง ซึ่งผู้ก่อเหตุเป็นสามีของผู้ที่มีนามสกุลเดียวกับเจ๊ม่วย ณ ขณะนั้นมีการฟ้องร้องเรื่องที่ดิน 3 พันกว่าไร่ มูลค่า 300 กว่าล้านบาท เป็นอีกหนึ่งปมที่ทงเจ้าหน้าที่ต้องสืบว่ามีส่วนเกี่ยวพันในคดีนี้หรือไม่