วันที่ 25 ม.ค. 2567 จากคดีการพบศพ น.ส.ปนิฐิ หรือเจ๊ม่วย อายุ 77 ปี ภายในสระน้ำสวนผลไม้ ห่างจากหลังบ้านพักประมาณ 100 เมตร ในพื้นที่ ม.2 ต.มะขาม อ.มะขาม จ.จันทบุรี ซึ่งต่อมาตำรวจชุดสืบสวน พร้อมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้คุมตัวนายกฤษฏ์ อายุ 40 ปี ผู้ต้องสงสัยที่ร่วมกันฆ่าเจ๊ม่วย ไปตรวจหาพยานหลักฐานที่บ้านในพื้นที่ตำบลปัถวี ในอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี และคุมตัวกลับมาสอบปากคำเครียดทั้งคืน
ท้ายที่สุด นายกฤษฏ์ รับสารภาพว่า มีผู้ร่วมก่อเหตุร่วมทำร้าย น.ส.ปนิฐิ อีก 2-3 คน โดย 1 ในจำนวนเป็นผู้หญิงชื่อ เจ๊ปุ้ย ส่วนอีก 2 คนเป็นชายวัยรุ่น โดยนายกฤษฏ์อ้างว่าเป็นแค่คนขับรถ พาผู้ร่วมก่อเหตุมาทวงหนี้กับผู้ตาย ไม่ได้เข้าไปร่วมก่อเหตุด้วย หลังก่อเหตุจึงนำศพไปโยนทิ้งน้ำเพื่ออำพราง โดยอ้างว่ามีมูลเหตุเรื่องการทวงเงินค่าแรงแล้วไม่ได้ หรือทวงหนี้แล้วไม่ได้ แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ
ส่วนประเด็นที่ผู้ก่อเหตุทั้งหมดเข้าไปในบ้านของผู้ตายได้ สืบเนื่องจากมี 1 ในผู้ก่อเหตุมีกุญแจ ซึ่งเป็นบุคคลที่ผู้ตายไว้วางใจมากที่สุด เป็นคนเปิดประตูให้ผู้ร่วมก่อเหตุเข้าไปด้านใน
จากนั้นได้ใช้มือหรือของแข็งทุบทำร้ายจน น.ส.ปนิฐิ บาดเจ็บ หรือสลบ หรืออาจจะเสียชีวิต ก่อนช่วยกันนำร่างออกมาจากบ้านแล้วไปนำศพไปโยนทิ้งสระน้ำ ซึ่งจากผลการตรวจชันสูตรของแพทย์พบว่า ในปอดไม่มีน้ำอยู่ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้ตายอาจเสียชีวิตก่อนถูกนำศพมาโยนทิ้งน้ำ
นอกจากนี้ ตำรวจยังได้เชิญพยานอีกคน มาให้ปากคำคือ สามีของเจ๊ปุ้ย ซึ่งยังตกเป็นผู้ต้องสงสัย เบื้องต้นบอกเพียงว่า เจ๊ปุ้ยทำธุรกิจเรื่องเงินกู้กับผู้ตายมาได้ประมาณ 1 ปี ส่วนเบื้องลึกรายละเอียดนั้นไม่ทราบ เนื่องจากแยกกันอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน เพราะเจ๊ปุ้ยไปบวชชีที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สอยดาว
ต่อมาตำรวจสามารถติดตามตัวเจ๊ปุ้ย ได้ที่ ต.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
เบื้องต้นนางโสมสุดา หรือเจ๊ปุ้ย ให้การรับสารภาพว่า วันเกิดเหตุตนเองพร้อมกับนายกฤษฏ์ หลานชาย ได้ไปหาคนตายที่บ้าน แล้วลงมือทำร้ายคนตายจนเสียชีวิต ก่อนเอาศพไปทิ้งลงในสระน้ำ ช่วงหัวค่ำวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุ ก็มาจากที่ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ร่วมกันมาเมื่อ 6-7 ปีก่อน โดยคนตายได้นำโฉนดจำนวนหลายฉบับไปจำนอง นำเงินมาปล่อยเงินกู้ร่วมกัน แต่ต่อมาเก็บเงินคืนไม่ได้ น.ส.ปนิฐิ จึงให้เจ๊ปุ้ยต้องเป็นคนรับผิดชอบเงินกู้ที่ปล่อยแล้วเก็บไม่ได้ทั้งหมด
เจ๊ปุ้ย อ้างต่อไปว่า ทำให้ตนเกิดความเครียด เลยร่วมมือกับหลานชายมาฆ่า น.ส.ปนิฐิ เพื่อล้างหนี้เป็นจำนวนหลายล้านบาท หลังก่อเหตุก็เดินทางมาที่จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.จนถึงวันนี้
หลังสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขมราฐ ได้ควบคุมตัวนางโสมสุดา หรือเจ๊ปุ้ย ไว้รอส่งมอบให้กับตำรวจ สภ.มะขาม จ.จันทบุรี มารับตัวไปดำเนินคดีต่อไป
คุมตัวไอ้กฤษฏ์ทำแผน โบ้ยไอ้โม่งฆ่าเศรษฐินี
จากนั้นในเวลาประมาณ 09.30 น. ตำรวจได้คุมตัวนาย กฤษฏ์ ออกมาจากห้องขัง เพื่อรอให้ผู้การฯเป็นคนมาสอบปากคำ นายกฤษฏ์ มีสีหน้าเคร่งเครียด โดยไม่ตอบคำถามกับสื่อออกมาแม้แต่คำเดียว
จากนั้นในขณะที่ พล.ต.ต.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผบก.ภ.จว.จันทบุรี เดินทางมาถึง ก็ได้มีการปิดห้องสอบปากคำนายกฤษฏ์ ด้วยตัวเอง กระทั่งนายกฤษฏ์ รับสารภาพกับผู้การฯในตอนเช้าว่า มีการนำเซิร์ฟเวอร์ ไปทิ้งที่บ่อน้ำข้างบ้านสามีของเจ๊ปุ้ย ทางผู้การฯจึงนำตัวนายกฤษฏ์ ขึ้นรถตู้ และมีการประสานกับนักประดาน้ำกู้ภัยสว่างกตัญญูจันทบุรี จำนวน 2 นาย งมหาหลักฐานอุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ ภายในสระน้ำที่มีความกว้าง 20 เมตร ยาว 25 เมตร และมีความลึกประมาณ 1 เมตรครึ่ง หลังจากนั้นเวลาผ่านไปไม่ถึง 10 นาที ทางนักประดาน้ำชุดกู้ภัยสว่างกตัญญูจันทบุรีพบวัสดุอุปกรณ์แบตเตอรี่รถจักรยานยนต์อยู่ในบ่อน้ำดังกล่าว 1 ก้อน ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่า แบตเตอรี่ดังกล่าวไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากสภาพค่อนข้างที่จะเก่า แต่ไม่เจอ ชิ้นส่วนของเซิร์ฟเวอร์แม้แต่ชิ้นเดียว
ช่วงบ่ายของวันนี้ (25ม.ค.67) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี และชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรมะขาม นำตัวนายกฤษฏ์ อายุ 40 ปี ไปชี้จุดทิ้งเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด ในสระน้ำความลึก 3 เมตร ใกล้เคียงกับวัดฉมัน อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดประดาน้ำ สมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถานจันทบุรี ลงไปงมอีกครั้ง
นายกฤษฏ์ รับสารภาพว่า เป็นคนเอาเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดไปทุบที่บ้าน ก่อนจะนำชิ้นส่วนมาโยนทิ้งน้ำ ซึ่งจากการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ค้นหาพบชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ และฝาของเครื่องสำรองไฟ ขณะที่ชิ้นส่วนอื่นๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดประดาน้ำได้เร่งระดมกำลังกันค้นหาเพื่อให้พบชิ้นส่วนอื่นๆโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ นายกฤษฏ์ กล่าวยอมรับว่าเรื่องชายคลุมโม่ง ที่เจอหลังจากขึ้นไปเอาเซิร์ฟเวอร์กล้องลงมาจากชั้น 2 นั้น เป็นเรื่องที่กุขึ้นมาเอง เพราะกลัวความผิด แท้ที่จริงแล้วมีเพียงตนเอง และเจ๊ปุ้ย กระทำการเพียง 2 คน โดยตนแบกป้าม่วย หลังจากเสียชีวิตแล้วจากบ้านไปที่สระน้ำ แต่เจ๊ปุ้ย เป็นคนช่วยโยนลงไป
ซึ่งวันนี้ระหว่างการค้นหา ทีมข่าวได้สอบถามกับตัวนายกฤษฏ์ ว่าตกลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครเป็นคนลงมือฆ่าเจ๊ม่วย และไอ้โม่ง คือใคร ใครเป็นคนนำศพเจ๊ม่วย ไปโยนทิ้งน้ำ
โดยนายกฤษฏ์ ยอมรับสารภาพว่า ตนเป็นคนจับเจ๊ม่วยล็อกคอ โดยมีเจ๊ปุ้ยเป็นคนทำร้ายร่างกาย จนเจ๊ม่วยเสียชีวิต หลังจากนั้นตน และเจ๊ปุ้ยได้ช่วยกันแบกร่างของเจ๊ม่วยไปโยนลงบ่อน้ำท้ายสวนผลไม้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีเพียงตน และเจ๊ปุ้ยเท่านั้น ไม่มีคนชื่อโม่งมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งตัวละครชื่อโม่งเป็นเพียงตัวละครที่ จิตนาการโกหกกับทางเจ้าที่ตำรวจ เนื่องจากเกรงกลัวในเรื่องความผิด
ส่วนประเด็นที่เจอร่างของผู้เสียชีวิตไม่มีการสวมเสื้อผ้านั้น ตนคาดว่า น่าจะเกิดจากการหลุดระหว่างที่ตนกำลังเดินแบกเจ๊ม่วยไปที่บ่อน้ำ
หลังจากที่ตน และเจ๊ปุ้ย ได้มีการแบกร่างของเจ๊ม่วยไปโยนทิ้งน้ำเสร็จแล้วนั้น ตนก็ได้มีการพาเจ๊ปุ้ยไปส่งที่โรงแรม ก่อนที่ตนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ในส่วนเซิร์ฟเวอร์นั้นตนได้มีการนำกลับมาทุบทำลายที่บ้านพัก ก่อนที่จะมีการนำมาทิ้งไว้ในบ่อน้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 13 กิโลเมตร
ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนลงมือทำร้ายเจ๊ม่วยจนเสียชีวิต แต่ยอมรับว่า เป็นคนแบกศพไปทิ้งน้ำ โดยมีเจ๊ปุ้ย เป็นคนช่วยอุ้มร่างของเจ๊ม่วย โยนทิ้งน้ำ และยอมรับว่าเป็นคนทำลายเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น ยืนยันจำไม่ได้ว่าเจ๊ปุ้ย ใช้อะไรทำร้ายเจ๊ม่วย
ถอดคำให้การ ไอ้กฤษฏ์พลิกลิ้นฆ่าเจ๊ม่วย
ผัวจับพิรุธ เจ๊ปุ้ย หนีบวช 3 เดือน ก่อนฆ่าเศรษฐินี
ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปตามความคืบหน้าทางคดีที่ สภ.มะขาม เนื่องจากในช่วงเช้าตำรวจ ได้ออกหมายจับเจ๊ปุ้ย อายุ 43 ปี ในข้อหากระทำความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ซ่อนเร้นหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการตาย หรือ เหตุแห่งการตาย
จากนั้นในช่วงประมาณ 08.30 น. ทางตำรวจได้เชิญตัวนายภัคดี อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นสามีเจ๊ปุ้ย มาสอบปากคำ ซึ่งในระหว่างที่รอการสอบปากคำ ทีมข่าวได้มีโอกาสสอบถามสามีของเจ๊ปุ้ย
โดยนายภัคดี เปิดเผยว่า ส่วนตัวห่างกับเจ๊ปุ้ย ได้ประมาณ 2 เดือน เนื่องจากเจ๊ปุ้ย บอกว่าไปบวชชีพราหมณ์ อยู่ที่สำนักสงฆ์ป่าหวาย (ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.) ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเจ๊ปุ้ยกับเจ๊ม่วย เท่าที่ตนเองรู้ เจ๊ปุ้ย ไปเจอกับเจ๊ม่วย ตอนที่นำของไปขายที่ตลาดนัด จากนั้นเมื่อทั้งคู่รู้จักกัน เจ๊ปุ้ยก็ได้มีการชักชวนเจ๊ม่วย ร่วมลงทุนปล่อยเงินกู้ และการร่วมลงทุนปล่อยเงินกู้ เท่าที่รู้ ทั้งคู่ทำมาประมาณ 1 ปี ส่วนนายกฤษฏ์ ผู้ต้องหาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ๊ปุ้ย ซึ่งช่วงที่เจ๊ปุ้ย ไปบวช เจ๊ปุ้ย ได้สั่งกับตนเองว่าอย่าไปหา โดยอ้างว่าหลวงปู่เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เคร่งเรื่องศีล ถ้าตนจะไปหาต้องรอบวชให้ครบ 3 เดือนไปแล้ว และตลอดช่วงที่เจ๊ปุ้ย ไม่กลับมาบ้าน ตนเองทราบจากลูกว่า เจ๊ปุ้ยมีการวนเวียนเข้าไปหาเจ๊ม่วย ในที่เกิดเหตุเป็นประจำ และเจ๊ปุ้ยก็ไม่เคยบอกคนในครอบครัวว่าเข้าไปทำอะไรในบ้านเจ๊ม่วยบ่อยๆ
จนกระทั่งวันที่มีคนไปพบศพเจ๊ม่วย เมื่อตนเองทราบ จึงได้มีการให้ลูกแชตไปบอกกับเจ๊ปุ้ย ว่าเจ๊ม่วย ตายอยู่ในบ่อน้ำ แต่เจ๊ปุ้ย ก็เฉยไม่ตอบแชตลูกสาว แล้วก็ขาดการติดต่อไปตั้งแต่วันนั้น กระทั่งเมื่อวานนี้ตำรวจได้เข้ามาค้นบ้านและแจ้งกับครอบครัวว่า เจ๊ปุ้ยเกี่ยวข้องกับการตายของเจ๊ม่วย ซึ่งวันนี้เท่าที่มาฟังรายละเอียดกับตำรวจ ส่วนตัวเชื่อว่าเจ๊ปุ้ย เป็นคนฆ่าเจ๊ม่วย เพราะคนสนิทกัน ถ้ารู้ว่าเจ๊ม่วยตาย คงไม่หนีและหายไปแบบนี้ ส่วนเรื่องที่เจ๊ปุ้ย ไปนับถือร่างทรงตามที่พ่อของนายกฤษฏ์ พูดกับนักข่าวเมื่อวาน ยอมรับเจ๊ปุ้ย เป็นคนชอบเรื่องนี้และนับถือองค์ปู่พญานาค
ความเคลื่อนไหวเจ๊ปุ้ย ก่อนถูกจับ
ส่วนไทม์ไลน์ ตามเวลา ที่นายกฤษฏ์ และทางครอบครัวให้ข้อมูลว่า ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ไปรับเจ๊ปุ้ย ที่โรงแรมหรือรีสอร์ตก่อนไปก่อเหตุ วันนี้ทีมไปได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งจะเห็นว่าในเวลา 19.16 น. ของวันมาที่ 19 มกราคม นายกฤษฏ์ ได้มีการขี่รถจักรยานยนต์ ออกไปจากบ้านคนเดียว โดยไม่มีใครนั่งซ้อนท้ายไปด้วย
จากนั้นเมื่อลงมือก่อเหตุเสร็จแล้ว จะเห็นว่าตามไทม์ไลน์ที่ทางนายกฤษฏ์และครอบครัว บอกว่านายกฤษฏ์ กลับมาบ้านตอนประมาณ 4 ทุ่ม จะเห็นว่า ในเวลา 22.47 น. นายกฤษฏ์ ขี่รถจักรยานยนต์กลับมาโดยมีผู้หญิงก็คือเจ๊ปุ้ย ซ้อนท้ายกลับมาด้วย และมีการขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน
ส่วนกล้องตัวที่ 3 ตามข้อมูลนายกฤษฏ์ และคนในครอบครัวที่บอกว่านายกฤษฏ์ มีการขับรถตู้ทึบออกไปส่งเจ๊ปุ้ย ที่โรงแรม หรือรีสอร์ต จะเห็นว่า ในเวลา 23.46 น. กล้องวงจรปิดจุดเดียวกัน จะสามารถจับภาพรถกระบะสีขาวตู้ทึบของนายกฤษฎ์ ได้ขับไปยังตามเส้นทางเพื่อไปส่งเจ๊ปุ้ย ที่โรงแรมหรือรีสอร์ต ก่อนจะกลับมาทำลายหลักฐาน
จากนั้นเป็นกล้องตัวที่ 4 ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อนายกฤษฏ์ ขับรถไปส่งเจ๊ปุ้ย ที่โรงแรมหรือรีสอร์ตเสร็จแล้ว ในเวลา 00.29 น.ของวันที่ 20 มกราคม นายกฤษฏ์ ได้ขับรถกระบะตู้ทึบ ย้อนกลับมาฝั่งตรงข้ามของถนน เพื่อมุ่งหน้านำ ชิ้นส่วนเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกทำลายไปทิ้งในบ่อน้ำ
ขณะเดียวกันในวันนี้ทางตำรวจได้มีการเชิญตัวบิดาของนายกฤษฏ์ผู้ต้องหามาให้ปากคำเพิ่มเติม จากการสอบถามเบื้องต้นบิดาของ นายกฤษฏ์ ให้การเพียงว่าไม่รู้ข้อมูลทั้งหมด แต่ลูกชายได้เล่าให้ฟังว่าคืนเกิดเหตุ ได้มีผู้หญิงโทรศัพท์มาตามให้ช่วยขับรถให้โดยบอกเพียงว่าจะไปทวงเงินที่บ้านของผู้ตายส่วนเรื่องอื่นๆตนไม่ทราบ
ทีมข่าวได้สอบถามกับนางนิด ซึ่งเป็นภรรยาของนายกฤษฏ์ ว่ารู้เรื่องอะไรบ้าง โดยนางนิด บอกว่า ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ นายกฤษฏ์ ซึ่งเป็นสามีของตนเองนั้น ไม่ได้มีอาการอะไรผิดปกติ หรือมีการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ซึ่งย้อนกลับไปในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา สามีได้ ขับรถตู้ทึบกลับมาที่บ้านหลังจากเลิกงาน จากนั้นช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. สามีได้ขี่รถจักรยานยนต์สีดำออกไปจากบ้าน โดยมีนางปุ้ยโทรศัพท์มานัดให้ออกไปพูดคุยเรื่องบางอย่าง ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร จากนั้นตนก็เข้านอนแล้วรู้ตัวอีกทีเมื่อสามมีกลับมาถึงบ้านเวลาประมาณ 23:00 น. ก็จะมีการนำรถตู้ทึบออกไปส่งนางสาวปุ้ยที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง แต่ตนก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน
ซึ่งเท่าที่ทราบจากปากสามี คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไม่ได้มีเพียงสามีของกับนางปุ้ย แต่ในบ้านที่เกิดเหตุมีนางปุ้ยและผู้ชายอีกสองคนซึ่งเอาผ้าคลุมปิดบังใบหน้าอยู่ด้วย ซึ่งสามี บอกว่าตอนที่เข้าไปถึงภายในบ้าน เห็นเจ๊ม่วย นอนคว่ำหน้าอยู่แล้ว ก็เลยเดินออกมารอนางปุ้ย ที่หน้าบ้าน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นคนร่วมเอาศพเจ๊ม่วยไปโยนทิ้งน้ำหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า สามีไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเจ๊ม่วย แต่ไปร่วมก่อเหตุหลังที่เจ๊ม่วยตายแล้ว