26 ม.ค. 2567 ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เขียนเรื่องราวถึงนักร้องเรียนชื่อดังท่านหนึ่ง โดยมีข้อความว่า
กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานสักเท่าไหร่
มีโมฆะบุรุษนาม “สีสากกะเบือ” ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง เที่ยวหากินตามงานวัดหลอกชาวบ้านไปวันๆ
เมื่อเห็นว่าหลอกคนได้ง่าย แค่เล่าเรื่องโกหกพกลมคนก็เชื่อ จึงคิดการใหญ่ ทำตัวเป็น “คนดีศรีสังคม“
อันสังคมไทยมักเชื่อถือคน “มือถือสากปากถือศีล” แค่ทำท่ากราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้า คนไทยก็หลงเชื่อลีลาชี้นิ้วโกหก
อาชีพร้องเรียนแล้วแบล็คเมล์มันช่างหากินง่ายเสียเหลือเกิน
เรื่องไหนเห็นว่าจะได้สตางค์ไม่มีรีรอ ทำตัวดั่ง “พระเวชสันดรมาโปรดสัตว์” แต่ที่ไหนได้พอโปรดได้ที่ก็ตีกิน หากไม่ใช่ของแท้ย่อมหวั่นไหว
เสมือนหนึ่งในภาษากฎหมายเรียก “ขู่กรรโชก” กระตุกให้สะดุ้งแล้วรอเคลียร์ เพราะเกรงกลัวอิทธิพลคนใช้สื่อเป็นเครื่องมือ บรรดาข้าราชการกลัวหัวหดเมื่อได้ยินชื่อ “สี”
พวกสีขาวไม่อยากมีเรื่องต่อความยาวสาวความยืด จึงจ่ายดีกว่า
ยิ่งพวกเทาๆ แทบจะรีบเอาเงินสดใส่ลังเบียร์ไปแกล้งลืมไว้ถึงที่บ้าน
สังคมมันบัดซบ คนชั่วมันถึงหากินแบบนี้ได้
ขอเตือนสื่อไม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของ “ศาลาคนชั่วแสร้งทำดี”
มันช่างเลวกว่า “คนเลวที่ยอมรับว่าเลว”
สังคมต้องระวัง เพราะเชื่อหรือไม่ว่ารายนี้ไม่ใช่รายแรก และไม่ใช่รายสุดท้ายแน่นอน
คนใกล้ตายอย่างผมไม่เสียเวลาเล่าเรื่องโกหก
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
26 มกราคม 2567