กรณีเมื่อเวลา 00.30 น. ของวันที่ 29 ม.ค. 2567 ตำรวจ สน.ท่าพระ กรุงเทพฯ รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บ นอนรอรับการช่วยเหลืออยู่ริมฟุตบาท บริเวณปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 5 เบื้องต้น จากการตรวจสอบทราบว่า ถูกยิงเข้าที่มือขวา ทราบชื่อคนเจ็บคือ นายสมาน อายุ 42 ปี ขณะที่คนก่อเหตุคือ นายนุ อายุ 33 ปี มีการยืมรถเก๋งสีดำของผู้การฯ มาใช้และก่อเหตุยิง นั้น
ล่าสุดทีมข่าวได้รับคลิปจากพลเมืองดี ซึ่งมีการบันทึกคลิปเอาไว้สั้น ๆ โดยจะเห็นว่ารถเก๋งสีดำ ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของผู้การฯ ขับออกมาจากปากทางร้านสะดวกซื้อ และมาจอดขวางถนนอยู่ ก่อนที่จะเห็นกลุ่มนายสมานคนเจ็บ ได้พยายามมาล้อมรถของสิบตำรวจนุ ที่เป็นคนขับอยู่ในขณะนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ยิงและกระทืบกันเกิดขึ้น
จากนั้นทีมข่าวได้รับมาอีกคลิปหลังเกิดเหตุแล้ว พบว่าตัวของ สิบตำรวจนุ ได้รับบาดเจ็บ ถูกเตะเสยหน้านอนอยู่บนพื้นฟุตบาท และจะเห็นกลุ่มของนายสมานซึ่งยืนอยู่ท้ายรถ
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้รับคลิปเพิ่มเติมจากชาวบ้านในพื้นที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ หลังจากเกิดเหตุแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่รถกู้ภัยเข้ามาตรวจสอบและรับคนเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยจะเห็นว่าในคลิปดังกล่าวเห็นนายสมานที่ถูกยิง นอนจมกองเลือดอยู่ที่ฟุตบาท
วันนี้ (29 ม.ค.) ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อ บริเวณปากซอยดังกล่าว ซึ่งจุดดังกล่าวมีร้านเหล้า 1 ร้าน ซึ่งร้านดังกล่าวเป็นร้านที่คนเจ็บและคนก่อเหตุมานั่งดื่มกัน ก่อนที่ร้านจะปิดและไปมีเรื่องกันที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งฟุตบาทบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ มีหยดเลือดและกองเลือดของคนเจ็บคือ นายสมาน ติดอยู่บนพื้นกระจายหลายจุด
ทีมข่าวได้ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม พบมีภาพจากกล้องวงจรปิดห่างออกไปจากจุดเกิดเหตุประมาณเกือบ 50 เมตร พบว่า มีปลายมุมกล้องพอจะบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ได้ ช่วงเวลาประมาณ 00.26 น. จะเห็นว่าตัวของสิบตำรวจนุ ยืนคุยอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง แต่มีลักษณะอาการค่อนข้างเมา มีบางช่วงช่วงยืนคุยกัน และพยายามจะอุ้มและแบกเพื่อนขึ้น แต่ด้วยความเมาถึงขั้นล้ม และช่วยกันพยุงลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ลานจอดบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ
ถัดมาประมาณ 1 นาที กล้องวงจรปิดจับภาพเวลาประมาณ 00.28 น. จะเห็นว่ากลุ่มก่อเหตุซึ่งเป็นกลุ่มนักกีฬาตะกร้อเดินออกจากร้านเหล้า และวิ่งไปที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเห็นตัวสิบตำรวจนุ ขับรถเก๋งสีดำออกจากลานจอดหน้าร้านสะดวกซื้อ แต่ลักษณะขับเลี้ยวขวาเพื่อจะย้อนศร
จากนั้น กล้องวงจรปิดจับภาพเห็นชายใส่เสื้อสีเขียว คือนายสมาน คนเจ็บ เดินตรงไปเข้าไปหารถของสิบตำรวจนุ ที่จอดคาอยู่ทางออกของร้านสะดวกซื้อ โดยเข้าใจว่าไปมีปากเสียงกัน และพยายามที่จะกระชากคอให้สิบตำรวจนุออกมาจากรถ แต่จังหวะดังกล่าวตามรายงานทราบว่ามีการยิงสวนออกมาจากรถ จนเป็นเหตุทำให้นายสมานได้รับบาดเจ็บ
จากกล้องวงจรปิด จะเห็นกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในร้านเหล้าด้วยกัพยายามมาดึงตัวนายสมานออกห่างตัวรถหลังจากที่ถูกยิงแล้ว กลุ่มเพื่อนอีกบางส่วนของนายสมานที่ไปนั่งกินเหล้าด้วยกันได้พยายามไปกระชากคอให้สิบตำรวจนุลงจากรถ แล้วจะเห็นว่ามีลักษณะของการถูกทำร้ายอยู่ที่ข้างรถ ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งมาที่ริมฟุตบาท แล้วถูกเพื่อนของนายสมานเตะเสยหน้าจนกระทั่งล้มลง ตัวของนายสมานคนเจ็บวิ่งเข้ามาชก ทั้งที่ถูกยิงไปแล้ว และเวลาถัดมาก็เริ่มเห็นมีพลเมืองดีรวมถึงชาวบ้านเริ่มเข้ามาระงับเหตุ ก่อนที่จะมีการแจ้งกู้ภัย และตำรวจ สน.ท่าพระ เข้ามาในที่เกิดเหตุ
ทีมข่าวเดินทางไปตรวจสอบที่ สน.ท่าพระ โดยช่วงที่ขับรถเข้าไปถึงที่โรงพัก ปรากฏว่าเห็นรถเก๋งสีดำ ทะเบียนตรงกับรถคันก่อเหตุ จอดอยู่ข้างโรงพัก ซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของตำรวจยศผู้การฯ ทีมข่าวจึงตรวจสอบกับทาง พ.ต.อ.ศักดิเดช กัมพลานุวงศ์ ผกก.สน.ท่าพระ ได้รับคำยืนยันว่า รถเก๋งสีดำเป็นรถประจำตำแหน่งของผู้การฯ ของหน่วยงานหนึ่งจริง แต่พลขับยศสิบตำรวจแอบนำไปใช้นอกเวลาราชการและไปก่อเหตุยิง ซึ่งตัวของผู้การฯ ไม่ได้รู้เห็น และทางโรงพักก็ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ปกปิดข้อมูลแต่อย่างใด
วันเดียวกันนี้ ที่ สน.ท่าพระ พนักงานสอบสวนได้มีการเรียกเฮียใช้ (นามสมมติ) เจ้าของร้านเหล้าที่เกิดเหตุ ที่เข้าใจว่าตัวของสิบตำรวจกับกลุ่มของนายสมานมีเรื่องกันในร้านเหล้า ก่อนจะออกไปเคลียร์ใจกันหลังร้านปิด
เฮียใช้ (นามสมมติ) เผยว่า เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในร้านของตนเอง แต่เข้าใจว่าอาจจะเป็นชนวนเหตุของจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่มีเรื่องกัน เพราะตัวของมือปืนมีลักษณะเมาจากที่อื่น และมานั่งต่อที่ร้านของตนเอง แต่ด้วยความเมาจึงเดินเซไปชนโต๊ะของกลุ่มนายสมานที่เป็นลูกค้าประจำ จากนั้นอาจจะมีปากเสียงกันเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่าเคลียร์กันจบแล้ว
จนกระทั่งร้านปิด กลุ่มนายสมานกำลังออกจากร้าน แต่ไปมีเรื่องกันต่อที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าไปมีเรื่องอะไรกัน เนื่องจากตอนนั้นกำลังเก็บร้านอยู่ภายใน ไม่ได้สนใจข้างนอก จนได้ยินเสียงปืนดัง 1 นัด จึงพากันไปช่วยระงับเหตุ และชนวนเหตุตนเองยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแย่งผู้หญิงในร้าน แต่เกิดจากความเมาของมือปืนที่เดินเซไปโดนโต๊ะของนายสมานเท่านั้น
ส่วนตัวยืนยันว่า ไม่ทราบว่าตัวของมือปืนที่เข้ามาในร้านนั้นเป็นตำรวจ และมีการเอารถเก๋งของผู้การฯ มาใช้ เนื่องจากรถจอดทิ้งเอาไว้ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วเจ้าตัวเดินเข้ามากินเหล้าในร้านตัวเอง และการเข้ามาในร้านนั้นก็ได้มีการตรวจตราเรื่องของอาวุธเป็นอย่างดี จึงยืนยันว่าในร้านตัวเองตำรวจคนดังกล่าวไม่สามารถที่จะเอาปืนเข้ามาได้อย่างแน่นอน แต่อาจเป็นเพราะปืนอยู่ในรถหรือไม่ จึงได้มีการก่อเหตุ และยืนยันย้ำกับทีมข่าวอีกครั้งว่า รถที่ขับมาเป็นรถของผู้การฯ ซึ่งตัวของตำรวจคนก่อเหตุก็เป็นคนขับของผู้การฯ
หลังจากให้สัมภาษณ์ ตัวของเฮียใช้ได้ส่งคลิปเพิ่มเติมให้ทีมข่าว ยืนยันว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ในร้านมีการเปิดเพลง และลูกค้าก็มีการดื่มกินกันตามปกติ ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในร้าน เพื่อยืนยันว่าเหตุการณ์ยิงกัน ไม่ได้มีการทะเลาะอะไรกันในร้าน
จากนั้นทีมข่าวได้ขอสัมภาษณ์ พ.ต.อ.ศักดิเดช กัมพลานุวงศ์ ผกก.สน.ท่าพระ โดยทางผู้กำกับปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ อ้างว่าต้องมีการรายงานเป็นลำดับชั้น และรายงานให้ผู้การนครบาลรับทราบ
โดยยืนยันกับทีมข่าวว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าวได้ให้ความเป็นธรรมทั้งฝ่ายของตำรวจ รวมถึงนักกีฬาตะกร้อที่ได้รับบาดเจ็บ แต่จากการสอบปากคำเบื้องต้น ยืนยันว่า เป็นเหตุการณ์ปืนลั่นเพราะนักกีฬาตะกร้อเข้าหาเรื่องหลังจากออกจากร้านเหล้า และพยายามแย่งปืนจึงทำให้ปืนลั่นใส่มือของนายสมาน นักกีฬาตะกร้อ และสาเหตุก็เกิดจากตัวของตำรวจที่เมา ได้เดินเซไปชนโต๊ะของกลุ่มนักกีฬาตะกร้อ จนทำให้เป็นชนวนเหตุ ก่อนที่จะมาคุยกันที่ลานจอดของร้านสะดวกซื้อแล้วเกิดเหตุขึ้น
หลังจากเกิดเหตุได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาตัวของสิบตำรวจนุ เรื่องของ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ, กระทำการโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส, ข้อหาเมาแล้วขับ, แล้วจะได้ส่งเจ้าตัวตรวจร่างกายเพราะเนื่องจากทราบว่าถูกทำร้ายร่างกายเช่นกัน อาจมีการแจ้งความดำเนินคดีกับฝ่ายของนักกีฬาตะกร้อด้วย
ขณะที่เรื่องของการใช้รถของผู้การฯ นอกเวลาราชการนั้น เป็นเรื่องความผิดของต้นสังกัดในการเอาผิดตามระเบียบ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางคดี เบื้องต้นได้มีการรายงานให้กับทางต้นสังกัดซึ่งเป็นผู้การฯ เจ้าของรถรับทราบแล้ว และยืนยันอีกครั้งว่า การทำคดีครั้งนี้ไม่ได้มีการเข้าข้าง แม้ว่าคนก่อเหตุจะเป็นตำรวจ