จากกรณีเด็กนักเรียนหญิงวัย 17 ปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ป่าติ้ว หลังถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจงานจราจรของ สภ.ป่าติ้ว ข่มขืนกระทำชำเรา หลังจากที่ถูกเรียกตรวจเนื่องจากไม่สวมหมวกกันน็อก และไม่มีใบอนุญาตขับขี่ โดยแจ้งค่าปรับจำนวน 2,000 บาท แต่เด็กไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ ร.ต.อ.กัมปนาท จึงพาเด็กไปข่มขืนกระทำชำเรา ที่ห้องเก็บของ กศน.อำเภอป่าติ้ว ซึ่งอยู่ข้างโรงพัก
โดยภาพกล้องวงจรปิดของศูนย์ กศน.อำเภอป่าติ้ว ซึ่งอยู่ห่างจาก สภ.ป่าติ้ว 500 เมตร ในวันที่ 29 ม.ค. เวลา 10.25 น. จะเห็น ร.ต.อ.กัมปนาท ซึ่งอยู่ในชุดข้าราชการเดินนำหน้าเด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหาย ออกมาจากด้านหลังของตึก กศน. ซึ่งคาดว่าข่มขืนเสร็จแล้ว
ในคลิปจะสังเกตเห็นว่า เด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหายเดินตามมาในลักษณะเอามือกุมท้องน้อย และค่อย ๆ เดินเหมือนได้รับบาดเจ็บจากการถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ล่วงละเมิด อีกทั้งทางทีมข่าวลงพื้นที่ไปสำรวจห้องโถงที่อยู่ด้านหลังของศูนย์ กศน. ซึ่งเป็นจุดที่ ร.ต.อ.กัมปนาท ใช้ล่วงละเมิดเด็กนักเรียนหญิง โดยภายในห้องดังกล่าวพบหลักฐานเป็นรอยเท้า และเก้าอี้ ซึ่งคาดว่าเป็นรอยเท้าเด็กผู้เสียหาย และรอยเท้าของ ร.ต.อ.กัมปนาท ด้วยนั้น
ล่าสุด พนักงานสอบสวน สภ.ป่าติ้ว ได้ตวบคุมตัว ร.ต.อ.กัมปนาท ผู้ต้องหาในคดีพรากผู้เยาว์ อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร และข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังขู่เข็ญโดยใช้กำลังประทุษร้าย ไปยื่นคำร้องฝากขังผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ที่ศาลจังหวัดยโสธร เนื่องจากต้องสอบสวนพยานบุคคลอีก 10 ปาก รวมทั้งรอผลผลการตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือ และรอผลการตรวจร่างกายของผู้เสียหายจากแพทย์
ซึ่งในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริง ท้ายคำร้องหากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เนื่องจากการกระทำของผู้ต้องหาเป็นอุกฉกรรจ์ คดีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน โดยทางผู้เสียหายก็ยื่นคัดค้านการประกันด้วย
ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ และภายหลังผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฝากขัง ศาลพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาไปยังเรือนจำจังหวัดยโสธรต่อไป
เมื่อวานทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ ครูอุ้ม (นามสมมติ) เพื่อนของ ร.ต.อ.กัมปนาท ซึ่งรับราชการครูอยู่ในเขตอำเภอป่าติ้ว และจะเป็นคนช่วยในการติดตามคดีรวมถึงใช้ตำแหน่งของตัวเองในการยื่นขอประกันต่อศาล
วันนี้ ทีมข่าวโทรกลับไปหาเพื่อนสนิทของ ร.ต.อ.กัมปนาท อีกครั้งหนึ่ง เจ้าตัวบอกว่า ศาลยังไม่อนุญาตให้ ร.ต.อ.กัมปนาท ประกันตัว แต่วันนี้ทางครูอุ้มและทนายความก็เตรียมหลักทรัพย์ใหม่พร้อมจะยื่นคำร้องใหม่ เพื่อขอให้ ร.ต.อ.กัมปนาท ได้ประกันตัว
นอกจากนั้น ครูอุ้มยังไม่เปิดเผยถึงแนวทางในการต่อสู้ หลังจาก ร.ต.อ.กัมปนาท ได้ยอมรับสารภาพกับครูอุ้มว่าเป็นผู้กระทำผิดต่อเด็กหญิงชั้น ม.5 จริง ๆ โดยจะใช้แนวทางในการขอความเห็นใจต่อศาล ด้วยการนำคุณงามความดีที่ ร.ต.อ.กัมปนาท เคยทำไว้เมื่อครั้งรับราชการตำรวจ เนื่องจากที่ผ่านมา ร.ต.อ.กัมปนาท ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่เป็นตำรวจน้ำดีที่ได้รับรางวัลด้วย
ที่สำคัญ ร.ต.อ.กัมปนาท เคยมีผลงานด้านการปราบปรามยาเสพติดมาแล้วหลายครั้ง สามารถจับยาเสพติดได้ล็อตใหญ่ด้วย ครูอุ้มในฐานะเพื่อนสนิทของ ร.ต.อ.กัมปนาท กำลังรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้ทนายยื่นต่อศาลเพื่อขอความเห็นใจให้ประกันตัว และสามารถช่วยลดหย่อนโทษให้กับ ร.ต.อ.กัมปนาท
ร.ต.อ.กัมปนาท บอกกับครูอุ้มว่า ตอนนี้ยังมีความหวังที่จะสามารถช่วยให้ศาลเห็นใจลดหย่อนโทษให้ตัวเอง จากความดีที่เคยทำมาทั้งหมด ส่วนทางครอบครัวของ ร.ต.อ.กัมปนาท คือภรรยาและลูกนั้น ครูอุ้มบอกว่าตอนนี้ตัดขาดกันได้มาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ทำให้ไม่มีคนในครอบครัวคอยช่วยเหลือ ครูอุ้มในฐานะเป็นเพื่อนจึงต้องเข้ามาช่วยเหลือแทน
ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่จนไปเจอภรรยาหลวงของ ร.ต.อ.กัมปนาท ชื่อว่า นางมิ้นท์ (นามสมมติ) ที่ต้องมาอาศัยอยู่กับลูกลำพังในชุมชนแห่งหนึ่ง เขตตัวอำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ซึ่งเมื่อทีมข่าวไปถึงหน้าบ้านของนางมิ้นท์ ก็เห็นว่านางมิ้นท์กำลังนั่งทานข้าวอยู่กับลูกชายอยู่ในบ้าน แต่ทีมข่าวพยายามเรียกเท่าไร นางมิ้นท์ก็ไม่ได้ออกมาพูดคุยกับทีมข่าว
จนมีเพื่อนบ้านเดินออกมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า นางมิ้นท์ คือภรรยาที่ถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ทิ้งไปหลังได้ติดยศร้อยตำรวจตรี ซึ่ง ร.ต.อ.กัมปนาท ไม่เคยมาสนใจใยดีลูกกับเมียเลย แถมหนำซ้ำล่าสุด ร.ต.อ.กัมปนาท ดำเนินการฟ้องหย่าภรรยาหลวง ทั้งที่ ร.ต.อ.กัมปนาท ทิ้งนางมิ้นท์ไปมีภรรยาใหม่ก่อนตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะจนมาถึงตอนนี้นางมิ้นท์ก็ยังไม่มีสามีใหม่
เพื่อนบ้านยังให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า นางมิ้นท์ทุกข์ใจที่ถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ไม่สนใจใยดีมานานแล้ว พอมาทราบข่าวว่า ร.ต.อ.กัมปนาท ไปก่อเรื่องลักษณะดังกล่าวก็ยิ่งทำให้ทุกข์ใจไปอีก จนเกิดความเครียดและไม่อยากเจอผู้คน
ขณะที่ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เดินทางเข้าพบ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เพื่อประสานขอความช่วยเหลือกรณีเด็กนักเรียนหญิง ม.5 อายุ 15 ปี ถูกนายตำรวจยศ ร.ต.อ. ข่มขืนเพื่อแลกค่าปรับ 2,000 บาท ในพื้นที่ สภ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
โดยนายเอกภพ เผยว่า หลังจากที่ตัวเองได้รับเรื่องร้องเรียน ได้ประสานกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และท้ายที่สุดนายตำรวจคนนี้ถูกให้ออกจากราชการ และถูกดำเนินคดีตามกฏหมายในหลายข้อหา โดยขณะนี้ได้ถูกฝากขังศาลไม่ให้ประกันตัว เพราะมองว่าเป็นคดีร้ายแรง
ส่วนน้องผู้เสียหาย ทราบว่า เรื่องที่เกิดขึ้นส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ รวมถึงทั้งครอบครัวยังติดใจกับพฤติการณ์ของครูบางคน ที่หลังเกิดเหตุมีการทักข้อความสอบถามเด็กในกลุ่มว่า ใครถูกกระทำตามที่เป็นข่าว ซึ่งมองว่าพฤติกรรมลักษณะนี้ไม่เหมาะสมอย่างมาก จึงเข้ามาประสานกับทางกระทรวงศึกษาธิการให้ช่วยตรวจสอบและดำเนินการเรื่องนี้
นายเอกภพ บอกเพิ่มเติมว่า อาจมีเหยื่อรายอื่นเพิ่มเติม เนื่องจากนายตำรวจคนนี้มักได้รับมอบหมายให้ไปเป็นวิทยากรสอนนักเรียนเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันเหตุทางเพศ โดยมีข้อมูลว่าพฤติกรรมของนายตำรวจคนนี้มักเข้าหานักเรียนหน้าตาดี ขอไลน์เด็กนักเรียนและติดต่อไปพูดคุยเชิงชู้สาว ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มีนักเรียนคนไหนเป็นเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศอีกหรือไม่
ขณะเดียวกัน ก็ต้องตรวจสอบนายตำรวจคนอื่นว่า มีใครมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับตำรวจนายนี้หรือไม่ ขณะเดียวกันตัวเองมองว่าเรื่องนี้ไม่ควรเอาผิดแค่ตำรวจผู้ก่อเหตุเพียงคนเดียว ควรตรวจสอบผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่า ว่าทำไมวันนั้นที่มีการตั้งด่านตรวจ ถึงไม่มีผู้บังคับบัญชาหรือนายตำรวจคนอื่นอยู่ด้วย หรือว่ามีนายตำรวจคนอื่นอยู่ด้วยแล้วรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่
ขณะที่ นายสุรศักดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เบื้องต้นจะให้การช่วยเหลือเยียวยากับครอบครัวของเด็กนักเรียนเรื่องของการเรียน เนื่องจากได้ข้อมูลว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเด็กยังไม่สามารถกลับมาเรียนหนังสือได้ตามปกติ จึงต้องไปพูดคุยกับโรงเรียนว่าจะมีวิธีการไหนช่วยเหลือเด็กใดบ้าง เช่น การเรียนออนไลน์ หรือให้ทำรายงานส่งเก็บคะแนน รวมถึงจะส่งเจ้าหน้าที่สำนักความปลอดภัยให้ไปดูแลความปลอดภัยของเด็ก
รวมถึงเข้าไปเน้นย้ำเรื่องพฤติกรรมของบุคลากรในโรงเรียน เรื่องของการให้ข่าวกับสื่อมวลชน มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากอาจจะกระทบจิตใจของเด็กผู้เสียหาย
ส่วนที่มีข้อมูลว่า นายตำรวจคนนี้เคยเข้าไปสอนนักเรียน แล้วมีพฤติกรรมทักข้อความหานักเรียนอย่างไม่เหมาะสม ก็ฝากประชาสัมพันธ์ว่า ใครที่ถูกนายตำรวจคนนี้ทักไปหาเชิงชู้สาว หรือแม้กระทั่งบุคลากรการศึกษาคนอื่น ทักข้อความพูดคุยลักษณะเชิงชู้สาว ก็ให้ติดต่อมาที่กระทรวงศึกษาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และเอาผิดตามกระบวนการต่อไป
ล่าสุดวันนี้ ทีมข่าวได้เดินทางมายังโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในอำเภอป่าติ้ว หลังจากกรณีมีแชตกลุ่มวิชาภาษาอังกฤษหลุด ในกลุ่มของนักเรียนชั้น ม.5 ซึ่งเป็นชั้นที่น้องอายุ 17 ผู้เสียหายเรียนอยู่
โดยข้อความในแชตได้มีครูวิชาภาษาอังกฤษ ได้มีการแคปเพจโหนกระแส ที่โพสต์ถึงกรณีบิ๊กโจ๊กสั่งดำเนินคดีกับรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.ป่าติ้ว โดยครูคนนี้ได้ถามในกลุ่มว่า “ใคร ๆ ให้ครูตัดตัวเลือกออกไหม 17 ปี ม.5 แท้ ๆ มารถมอเตอร์ไซค์และเป็นกลุ่มที่มาสาย จึงต้องมาถูกด่านไม่ใช่ว่าจะไปออกโหนกระแสนะ”
เด็กนักเรียนตอบ “หนูมาสาย 555” ครูตอบกลับข้อความ “กรรม รู้จักไหมใคร หรือไม่กล้าบอกนะ ส่วนตัวมาก็ได้ อยากรู้ 5555 ใช่โรงเรียนเราไหม” ก่อนจะตอบกลับข้อความเด็กนักเรียนว่า “น่าจะใช่เรานะ มีกี่คน แตกแถวมาเลย” ก่อนนักเรียนจะตอบว่า “โรงเรียนเรานี่แหละ” ซึ่งหลังจากน้องอายุ 17 ได้เห็นแชตข้อความนี้ ก็รู้สึกเสียใจ ก่อนจะพูดกับแม่ว่า “ถ้าหนูผูกคอตายแม่จะเสียใจไหม”
ทีมข่าวจึงได้เดินทางมายังโรงเรียนดังกล่าว เพื่อสอบถามแชตที่ปรากฏขึ้น ในขณะที่ทีมข่าวมาถึงบริเวณประตูทางเข้าโรงเรียน ได้สอบถามข้อมูลกับครูเวร ให้ข้อมูลว่า วันนี้ได้มี สพฐ. ลงพื้นที่ แต่ไม่รู้ว่ามาเรื่องอะไร ส่วนครูที่ปรากฏอยู่ในแชตนั้น เป็นครูสอนภาควิชาภาษาอังกฤษ สอนเด็กนักเรียนช่วงมัธยมปลาย แต่วันนี้ครูคนนี้ไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน เพราะพานักเรียนไปแข่งศิลปหัตถกรรม ส่วนเรื่องพฤติกรรมหรือนิสัยส่วนตัวไม่รู้ เพราะตนเพิ่งย้ายมาใหม่
ทีมข่าวจึงได้สอบถามข้อมูลไปยัง ผอ. โรงเรียนดังกล่าว ได้ให้ข้อมูลกับทางทีมข่าวว่า เบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับครูท่านนี้ ส่วนเรื่องกระบวนการในการสอบสวนในแชตที่ปรากฎนั้น ขอให้เป็นเรื่องภายใน
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางมายังบ้านของครูท่านนี้ พบว่าประตูบ้านมีการปิดล็อกเอาไว้ แต่ประตูหน้าบ้านเปิด ทีมข่าวได้พยายามตะโกนเรียกครูท่านนี้ แต่ไม่พบคนในบ้านมีเพียงสุนัข 2 ตัวอยู่บ้านเท่านั้น ส่วนข้อมูลจากทางชาวบ้านบอกว่า ครูท่านนี้เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้จึงไม่ค่อยสนิท แต่เท่าที่เห็นก็พบว่าครูคนนี้อยู่บ้านเพียงคนเดียว และตอนนี้น่าจะไปสอนที่โรงเรียน
นอกจากนั้น ทีมข่าวตรวจสอบการโพสต์ข้อความในสื่อโซเชียลของครูคนดังกล่าว พบว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2566 ครูคนนี้เคยโพสต์เชิญชวนเด็กนักเรียนหน้าตาดีมาช่วยทำงาน แล้วจะให้เกรดสี่ “รับสมัครเด็กนักเรียนช่วยงานสองคน ใครมาช่วยจะให้เกรดสี่ สนใจทักแชตมารับเฉพาะคนหน้าตาดี” นอกจากนั้น มีคนมาคอมเมนต์ว่าเป็นผู้หญิงได้หรือไม่ ครูตอบว่าเอาไว้ก่อน
วันนี้ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านของ ร.ต.อ.กัมปนาท ที่อยู่ใกล้กับ สภ.ป่าติ้ว ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ ร.ต.อ.กัมปนาท เช่าพักอาศัยอาศัยอยู่ โดยทีมข่าวได้ข้อมูลมาว่า ภรรยาคนที่สองของ ร.ต.อ.กัมปนาท มักจะมาที่บ้านหลังนี้ในช่วงวันหยุดหรือเมื่อมีธุระสำคัญ แต่เมื่อทีมข่าวไปถึงกลับพบว่า บ้านถูกปิดเงียบมีเพียงถุงข้าวสารที่ถูกแขวนคล้องไว้กับกลอนประตู และมีกุญแจล็อกอยู่ด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง ส่วนด้านนอกบ้านมีรถกระบะของ ร.ต.อ.กัมปนาท จอดอยู่
ทีมข่าวจึงสอบถามชาวบ้านที่อยู่บริเวณละแวกนั้น ให้ข้อมูลบอกว่า ชาวบ้านทุกคนทราบดีว่าบ้านหลังนี้คือบ้านของ ร.ต.อ.กัมปนาท ซึ่งไม่มีใครคิดว่าตำรวจจะมาก่อเหตุแบบนี้ โดยปกติแล้วก็มักจะเห็นว่า ร.ต.อ.กัมปนาท อาศัยอยู่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว นอกจากวันเสาร์-อาทิตย์ที่จะมีผู้หญิงมาอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นภรรยาคนที่สองของ ร.ต.อ.กัมปนาท
ส่วนวันปกติทั่วไปจะมีเพื่อนตำรวจมาสังสรรค์ดื่มเหล้ากันที่บ้านหลังนี้ ส่วนรถกระบะของ ร.ต.อ.กัมปนาท นั้น เพื่อนบ้านบอกว่า เมื่อวานนี้จอดอยู่หน้าบ้าน แต่ตื่นเช้ามาวันนี้พบว่าเข้าไปจอดในโรงจอดรถแล้ว ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นภรรยามาเลื่อนรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถช่วงดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา
ขณะที่ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ได้ไลฟ์สดผ่าน TikTok พูดถึงเรื่องตำรวจยศ ร.ต.อ. ไปข่มขืนเด็กนักเรียน ก็มีเอฟซีถามว่า ให้ตนลงไปจัดการได้ไหม ซึ่งตนลงไปจัดการได้ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องไปจัดการ เพราะตำรวจเขากระทืบไปเต็มตีนแล้ว ทำไปเต็มอำนาจหน้าที่แล้ว ก็คือ กรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรรมการสอบวินัย เขาลงความเห็นแล้วว่าให้ไล่ออก ทางผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดก็มีคำสั่งให้ออกจากราชการ แจ้งข้อกล่าวหาไป 2-3 ข้อหา คือ 1. พรากผู้เยาว์ ซึ่งเด็กคนนี้อายุยังไม่ถึง 18 แค่ 17 ปี 2. อนาจาร อาจจะมีพฤติการณ์ล้วงแคะแกะเกา และ 3. ข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งถือเป็นบทลงโทษที่หนัก
"มีการจับกุมตัวใส่กุญแจมือ ตำรวจด้วยกันรังเกียจตำรวจคนนี้มาก เพราะไปก่อเรื่องแบบนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมเสียอาชีพตำรวจ เขารังเกียจใส่กุญแจมือไม่ให้เกียรติเลย เอามือไพล่หลังกันมันโดดแย่งปืนคนนั้นคนนี้ แต่ว่าถ้าใส่กุญแจมือไพล่หลัง เดี๋ยวสื่อมวลชนประชาชนเห็นว่า ตำรวจชั่วถูกจับแล้ว ไม่ใส่กุญแจมือเอามือไปหลบข้างหลังทำไม เขาก็เลยมาใส่ข้างหน้าให้ เพราะว่ามีคนควบคุม แต่ว่ามันอายมั้ง มันเลยเอาผ้าพันไม่เห็นกุญแจมือ
ไม่ต้องไปอายหรอกทำชั่วอย่างนี้ แล้วตำรวจพนักงานสอบสวนก็คัดค้านการประกันตัว ก็ขอบคุณเพจสายไหมที่ช่วยแม่เด็ก พวกเราสื่อมวลชนก็ไม่ต้องไปล้วงแคะแกะเกา ว่าแม่เด็กเป็นใคร มันจะนำความเสื่อมเสียและความสะเทือนใจไปสู่เด็ก เราไม่ต้องไปรับรู้ว่าเด็กชื่ออะไร นามสกุลอะไร เห็นว่าจะช่วยย้ายเด็กมาเรียนที่ กทม. และช่วยหางานหาอาชีพให้แม่ ซึ่งรายละเอียดลึก ๆ ตนไม่ทราบ"
วันนี้ล่าสุดทีมข่าวได้รับข้อมูลใหม่มาจากกลุ่มนักเรียน ซึ่งอยู่โรงเรียนเดียวกันกับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.5 ผู้เสียหาย ซึ่งเด็กนักเรียนกลุ่มนี้มีอายุเพียงแค่ 15-16 ปี และเคยถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ออกอุบายล่อลวงลักษณะเดียวกันกับเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.5 ที่ตกเป็นผู้เสียหายรายล่าสุด
เด็กนักเรียนหญิงกลุ่มนี้เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า เด็กนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ในโรงเรียนมักจะรู้จัก ร.ต.อ.กัมปนาท ในฐานะครูแด คือตำรวจที่เข้าไปสอนและให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ทำให้มีความคุ้นเคยกันระดับหนึ่ง
แล้วเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเกิดเหตุเด็กนักเรียนหญิงชั้น ม.5 โดนข่มขืน ช่วงเช้าก่อนมาโรงเรียน เธอก็พบว่าตำรวจมีการตั้งด่านตามปกติ ซึ่งด่านดังกล่าวจะอยู่ใกล้กับตลาดสดของเทศบาล เด็กนักเรียนกลุ่มนี้จึงมักจะรวมกลุ่มเพื่อหาอาหารทานกัน แล้วบังเอิญไปเจอกับ ร.ต.อ.กัมปนาท ในขณะที่เด็กนักเรียนกลุ่มนี้กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่
ร.ต.อ.กัมปนาท จึงเรียกเด็กนักเรียนหญิงกลุ่มนี้พร้อมกับถามว่า “ทำไมไม่ใส่หมวกกันน็อก” เด็กนักเรียนหญิงยังไม่ทันได้ตอบคำถาม ร.ต.อ.กัมปนาท ก็พูดต่อทันทีเลยว่า “ใส่กระโปรงสั้นจัง โชว์ขาอ่อนเหรอ” แต่เด็กนักเรียนกลุ่มนี้แสดงท่าทีขัดขืนและไม่พอใจในสิ่งที่ ร.ต.อ.กัมปนาท พูด ซึ่งจังหวะนั้นรถจักรยานยนต์ก็ดับเครื่องลงพอดี แล้ว ร.ต.อ.กัมปนาท ก็รู้สึกว่านักเรียนไม่พอใจจึงมาสตาร์ทรถให้ ก่อนที่เด็กนักเรียนหญิงกลุ่มนี้จะขี่รถหนีไป
เด็กนักเรียนหญิงกลุ่มนี้ ยังบอกอีกด้วยว่า ไม่นึกเลยว่าการพูดในเชิงทะลึ่งแบบนี้ของ ร.ต.อ.กัมปนาท จะเกิดเหตุขึ้นจริงกับเด็กนักเรียนหญิงคนอื่น แต่แม้ว่าเด็กนักเรียนหญิงคนอื่นจะไม่โดนล่วงละเมิดทางเพศจากการกระทำของ ร.ต.อ.กัมปนาท แต่การพูดลักษณะดังกล่าวก็เหมือนเป็นการล่วงละเมิดทางเพศทางวาจากับเด็กนักเรียนหญิงด้วย