จากกรณีเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสุวรรณ จ.บุรีรัมย์ ได้จับกุมนายอดุลย์ อายุ 39 ปี อาสารักษาดินแดน (อส.) ปฏิบัติหน้าที่ประจำอำเภอโนนสุวรรณ หลังได้ก่อเหตุควงอาวุธปืนพกสั้นไปที่ห้องพักของนายโรจนินทร์ บวรฐิติชัยรัฐ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อำเภอโนนสุวรรณ เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. เย็นวานนี้ (30 ม.ค.) ขณะที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมจะพักผ่อน แล้ว อส. ได้ใช้ปืนกระบอกดังกล่าวจ่อบังคับให้ปลัดอำเภอนอนลงบนที่นอน
พร้อมทั้งใช้มือข้างซ้ายหยิบหมอนขึ้นมาบังเพื่อหวังจะเหนี่ยวไกปลิดชีพปลัดฯ แต่ปลัดฯ ฮึดสู้ยื้อแย่งปืนจาก อส. จนเกิดปืนลั่น เคราะห์ดีที่กระสุนไม่ได้โดนใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หลังปลัดฯ แย่งปืนจาก อส. ที่พยายามบุกเข้าไปก่อเหตุได้แล้ว ก็รีบวิ่งออกจากห้องพักในสภาพนุ่งผ้าขนหนูด้านในสวมแค่กางเกงในไม่ได้ใส่เสื้อ เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านใกล้เคียง แต่ระหว่างทางผ้าขนหนูเกิดหลุดเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว กับอาวุธปืนของกลางที่แย่งได้จากมือของ อส. ไปขอความช่วยเหลือจากร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากห้องพักที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร
โดยกล้องวงจรปิดของทางร้านสามารถบันทึกภาพ ขณะที่ปลัดฯ วิ่งมาขอความช่วยเหลือ ในสภาพที่ใส่กางเกงในตัวเดียว แต่ อส. ไม่ได้วิ่งตามมาคาดว่างน่าตอนที่ปลัดฯ วิ่งมาขอความช่วยเหลือตอนแรกแม่ค้าร้านชำได้ยื่นกุญแจให้ แต่รถ จยย. สตาร์ทไม่ติด จังหวะนั้นได้มี จยย. อีกคันขี่มาหน้าร้าน จึงขอให้ช่วยไปส่งที่ สภ.โนนสุวรรณ เพื่อไปแจ้งความ
ขณะที่กล้องวงจรปิด ช่วงเวลา18.36 น. ของวันที่ 30 ม.ค. จะเห็นปลัดอำเภอที่นุ่งกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว โดยในมือถือปืนของผู้ก่อเหตุ วิ่งหน้าตาตื่นมาขอความช่วยเหลือจากร้านค้า ก่อนจะขอยืมรถจักรยานยนต์ เพื่อไปแจ้งความ ซึ่งปรากฏว่าขณะที่ปลัดอำเภอจะสตาร์ทรถเพื่อไปแจ้งความ รถจักรยานยนต์กลับสตาร์ทไม่ติด ต่อมาไม่นานก็จะเห็นว่ามีชาวบ้านขี่รถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าร้าน ก่อนที่ปลัดอำเภอจะไปขอความช่วยเหลือให้ชาวบ้านไปส่งที่โรงพัก
ส่วนกล้องวงจรปิดอีกมุมของวันเดียวกัน ซึ่งเวลาห่างกันเพียงแค่ 4 นาที หลังปลัดฯ วิ่งหนีและไปแจ้งความจะเห็นรถกระบะของผู้ก่อเหตุ ขับไปตามถนน ลักษณะคล้ายกับขับรถวนตามหาปลัดฯ ที่วิ่งหลบหนี ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะขับรถเข้าไปภายในปั๊มน้ำมัน และวนรถกลับมาที่เดิม จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน จนไปถูกตำรวจจับกุมตัวได้ที่บ้านของผู้ก่อเหตุในเวลาต่อมา
จากการสอบถามนายอดุลย์ อส. คนที่ก่อเหตุ บอกว่า ตนเพิ่งย้ายมาทำงานที่ อ.โนนสุวรรณ ประมาณ 3-4 เดือนแล้ว ซึ่งช่วงนี้ตนป่วยเป็นโรคเก๊าและไขข้อกระดูกเสื่อมก็จะไปหาหมอเป็นระยะ ล่าสุดมีนัดหาหมอวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้วันที่ 30 ม.ค. จึงไปแจ้งกับปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคงว่าจะขอลาไปหาหมอ แต่ปลัดฯ กลับบอกว่าลาไม่ได้เพราะก่อนหน้านี้ลาไปแล้ว จึงเกิดความไม่พอใจ พอเลิกงานจึงถือปืนไปที่ห้องพักของปลัดฯ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะไปยิงแค่กะข่มขู่เท่านั้นเพราะความโมโห
วันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายพร (นามสมมติ) คนที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ในช่วงเกิดเหตุตนเองเห็นรถกระบะนายอดุลย์ขับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดเบรกเสียงดังที่หน้าห้องพักปลัดฯ
สักพักเห็นนายอดุลย์เปิดประตูรถยนต์พร้อมกับถือปืนลงมา ก่อนที่ไม่นานตนเองจะเห็นคนก่อเหตุเดินบุกเข้าไปที่หน้าห้องของปลัดฯ แล้วเคาะประตูเสียงดังพร้อมกับตะโกนว่า “มึงออกมา” จากนั้นได้ยินเสียงชักลำกล้อง เขาจึงรีบเข้าไปหลบในบ้านพร้อมกับโทรศัพท์แจ้ง 191
ส่วนตัวของคนก่อเหตุจะบุกเข้าไปในห้องพัก สักพักก็ได้ยินเสียงปืนตามขึ้นมาอีก 1 นัด โดยตอนนั้นตนเองไม่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย หรือเสียงปืนดังขึ้นอีก และก็ไม่ได้เห็นว่ามีการต่อสู้กัน ซึ่งตัวเองก็ไม่ทันมองว่า ตัวของปลัดฯ วิ่งออกมาตอนไหน แต่หลังจากที่ปลัดฯ วิ่งออกไป คนก่อเหตุก็เดินขาเป๋ออกมาจากห้องพักของปลัดฯ ซึ่งตนเองสังเกตเห็นตอนแรกนึกว่าคนก่อเหตุโดนยิงแต่พอดูดี ๆ กลับไม่พบเลือด จากนั้นก็เห็นคนก่อเหตุขึ้นรถกระบะ และถอยรถเหมือนพยายาม จะตามหาว่าปลัดฯ อยู่ที่ไหน ก่อนที่สักพักจะขับรถออกไปทางถนนใหญ่ คล้ายกลับไปตามหาตัวปลัดฯ หลังจากที่หนีไปได้
ขณะที่เมื่อช่วง 14.00 น. นายโรจนินทร์ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อำเภอโนนสุวรรณ ได้เดินทางมาที่ สภ.โนนสุวรรณ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน ในระหว่างนี้ทีมข่าวได้มีโอกาสสอบถามปลัดอำเภอ ซึ่งได้บอกกับทีมข่าวสั้น ๆ ว่า ยังคงยืนยันว่าให้ผู้ก่อเหตุลาป่วยได้ตามระเบียบของทางราชการ และก่อนหน้านั้นผู้ก่อเหตุก็ลาป่วยไปแล้ว 2 วัน หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุก็มาทำงานบ้างไม่มาทำงานบ้าง ส่วนสาเหตุตนก็ไม่เข้าใจว่าผู้ก่อเหตุเข้าใจผิดอะไรถึงได้มาก่อเหตุยิงตน
นายโรจนินทร์ ยังให้ข้อมูลอีกว่า ก่อนวันเกิดเหตุหนึ่งวันตนเองได้เรียก อส. ทั้งหมดรวมพล ซึ่งพบว่านายเดชอดุลย์หายไป โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าลาไปไหน ตนจึงสอบถามในกลุ่มไลน์ ซึ่งนายเดชอดุลย์ก็อ้างว่าออกไปซื้อยาพ่นหญ้า ตนจึงได้ตักเตือนไปว่าหากจะมีธุระหรือลาไปไหน ขอให้แจ้งล่วงหน้า
ต่อมานายอดุลย์ก็ได้ไลน์มาขอลาป่วย อ้างว่าไปพบแพทย์ในวันที่ 31 ม.ค. ซึ่งตนเองก็อนุญาตให้ลาได้ แต่หากจะลาเกิน 3 วัน ต้องมีใบรับรองแพทย์ แต่นายเดชอดุลย์ได้ตอบกลับตนเองอ้างว่าเคยยื่นใบรับรองแพทย์ไปแล้ว ในช่วงที่ลาป่วย 2 วัน แต่ตนเองยืนยันว่าการลาป่วยครั้งนั้น ผู้ก่อเหตุยังไม่ได้ยื่นใบรับรอง ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะกลับว่า “โอเค”
จากนั้นตนเองก็คุยประเด็นอื่นต่อ นัดหมายรวมพลกับทั้งหมดในวันรุ่งขึ้น และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เปิดอ่านไลน์อีกเลย แต่พอมาเปิดดูย้อนหลังพบว่าช่วงก่อนที่นายเดชอดุลย์จะมาก่อเหตุ เจ้าตัวได้พิมพ์ข้อความด่าตนในกลุ่มไลน์เสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดคิดว่าตนไม่ให้ลา แถมยังสั่งงานเพิ่ม
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางมาที่บ้านของผู้ก่อเหตุ พบรถกระบะของผู้ก่อเหตุ ที่ใช้ขับไปก่อเหตุยังคงจอดอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน จากการสอบถามนางลำพึง พี่สาวของผู้ก่อเหตุ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเช้าน้องชายได้ทำขนมจีนน้ำยามาให้ตนเองกิน ก่อนที่ในช่วงเย็นประมาณ 5-6 โมงเย็น ตนจะเห็นน้องชายขับรถกระบะออกไปข้างนอก ซึ่งในตอนแรกเข้าใจว่าน้องชายไปซื้อรำข้าวมาให้เป็ดกิน
จนกระทั่งมารู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ตำรวจบุกมาจับกุมน้องชายที่บ้าน จึงได้รู้ว่าน้องชายไปก่อเหตุใช้ปืนข่มขู่จะยิงปลัดอำเภอ ซึ่งน้องชายกลับมาบ้านตอนไหนตนเองก็ไม่ได้สนใจ
นางลำพึง ยังบอกอีกว่า น้องชายของตนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยเล่าเรื่องปัญหาส่วนตัว และเรื่องทำงานให้กับทางครอบครัวได้รับรู้เท่าไร แต่ตนเองยืนยันว่าน้องชายไม่ใช่คนใจร้อน
ส่วนสาเหตุตนเองไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร แต่ยืนยันว่าน้องชายป่วยจริง เนื่องจากหัวเข่าบวม และทำให้ปวดเวลาเดินและยืน ซึ่งน้องชายเคยไปหาหมอเพื่อตรวจอาการแล้ว ซึ่งหมอก็ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าน้องชายเป็นอะไร โดยหมอจะนัดไปดูอาการอีกครั้งในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ นี้ แต่โดยส่วนตัวตนเองคาดว่าน้องชายอาจจะเป็นโรคเก๊าตามพันธุกรรม
ล่าสุดทางครอบครัวก็จะทำการยื่นประกันตัวน้องชายออกมา เพื่อรักษาอาการปวดหัวเข่าให้หายดี ก่อนที่จะให้น้องชายไปรับโทษตามกฎหมาย ขณะที่สาเหตุทั้งหมดที่น้องชายก่อเหตุในครั้งนี้ ตนเองเชื่อว่าน่าจะเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ ที่เข้าใจผิดคิดว่าหัวหน้าไม่ให้ลางาน