จากกรณี นายวรเชษฐ หรือ เอ อายุ 40 ปี พ่อค้าทอดมัน ถูกฆ่าปาดคอ-แทงซ้ำ รวม 6 แผล เสียชีวิตกลางทุ่งนา ระหว่างเดินออกกำลังกาย ในพื้นที่หมู่ 5 บ้านหนองหว้า ต.นาโยงใต้ อ.เมืองตรัง จ.ตรัง เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2566
ต่อมาตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้แล้ว คือ 6 คน คนที่ถูกตำรวจจับทั้ง 6 คน อ้างว่า ตนเองไม่ได้ทำ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ออกมาร้องสื่อขอความเป็นธรรม ตอนนี้ครอบครัวต้องหมดตัว เพราะต้องขายของในบ้านที่มีทั้งหมด มาประกันตัวคนในครอบครัวออกมา แต่ก็ประกันตัวได้แค่ 3 คน เพราะไม่มีเงินประกันแล้ว จึงมาขอให้เพจสายไหมต้องรอดช่วยขอความเป็นธรรม
วันที่ 2 ก.พ. 2567 มีรายงานว่า ทีมงานสายไหมต้องรอด พาผู้เสียหายร้องขอความเป็นธรรมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หลังอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมกลายเป็นแพะรับบาปยกครอบครัว ในข้อกล่าวหาฆ่าคนเสียชีวิต ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 โดยมีนายกองตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ในบังคับบัญชารองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) เป็นผู้รับมอบหนังสือ
ในขณะที่นายสมพร อายุ 50 ปี ผู้ถูกกล่าวหา เผยว่า วันที่เกิดเหตุตนได้พาลูกชายและนำวัวไปเดินออกกำลังกาย กินหญ้าตามข้างทาง ซึ่งระหว่างเดินทางได้ไปพบศพผู้ชาย นอนนิ่งอยู่ในคูน้ำ แจ้งจึงได้รีบไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน เพื่อที่จะให้ดำเนินการแจ้งตำรวจมาดู ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร ก่อนที่ตนเองจะจูงวัวกลับบ้าน แต่มารู้ภายหลังว่าผู้เสียชีวิตคือคนที่รู้จักกัน
จากนั้นในช่วงเวลาเย็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญให้ไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน ต่อมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ตำรวจได้โทร. เข้ามาว่าให้ไปให้ปากคำเพิ่มเติม แต่วันนั้นตนติดภารกิจต้องขับรถบรรทุกมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะกลับไปในวันที่ 23 พฤศจิกายน จากนั้นวันที่ 24 พฤศจิกายน ตำรวจได้เข้ามาจับกุมครอบครัวไปสอบสวนทั้งบ้าน รวมทั้งหมด 12 คน จับแยกไปสอบคนละห้อง ซึ่งรวมถึงเด็กอายุ 4 และ 5 ขวบ
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปสอบถามกับ พลตำรวจตรีภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พลตำรวจตรีภัทรวิชญ์ ได้ชี้แจงผ่านทีมข่าวว่า คดีดังกล่าวตำรวจให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ทั้งฝั่งผู้ตายและฝั่งผู้ต้องหา ยืนยันว่า ตำรวจได้ทำคดีอย่างตรงไปตรงมาและใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานนับเดือน ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่กัดไม่ปล่อย สืบหาข่าวหาข้อมูลเกือบทุกวัน เพื่อหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า พยานหลักฐานในคดีนี้ค่อนข้างน้อย ไม่มีทั้งกล้องวงจรปิด หรือ พบหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่พอใช้เป็นพยานหลักฐานได้เลย
ส่วนพยานหลักฐานสำคัญที่สุดในคดีนี้ ที่ตำรวจมีและนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 6 คน คือ คนในครอบครัวของผู้ต้องหาเอง (เด็กหญิงวัย 5 ขวบ) ซึ่งเป็นลูกสาวของ นางสาวทิพย์ และ นายเกรียงศักดิ์เอง เด็กคนนี้ถือเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่สุดในคดี
โดยจากการสอบปากคำเด็กของตำรวจ ยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพเดินทางมาร่วมสอบปากคำ และอยู่กับเด็กตลอดเวลา เด็กให้การเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก และเด็กให้การว่า อยู่ในทุกช่วงเหตุการณ์ระหว่างเกิดเหตุ ซึ่งสามารถเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ได้อย่างไหลลื่น เล่าเหตุการณ์ได้เป็นฉากเป็นตอน ทำให้ตำรวจนำคำให้การของเด็ก ไปเชื่อมโยงกับพยานแวดล้อมอื่น ๆ ทำให้ศาลเชื่อและออกหมายจับผู้ก่อเหตุได้ในที่สุด
ส่วนทางฝั่งผู้ต้องหาได้นำเรื่องราวไปร้องเรียนกับเพจสายไหมต้องรอด ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาในการสู้คดี หรือ พูดให้การอย่างไรก็ได้ แต่ตำรวจยืนยันว่า ในทุกขั้นตอน ตำรวจทำถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง และไม่มีการจับแพะ หรือ ยัดเยียดข้อหาให้กับผู้ต้องหาแน่นอน
ทีมข่าวได้สอบถาม พลตำรวจตรีภัทรวิชญ์ ต่อว่า แล้วผู้ก่อเหตุลงมือฆ่านายวรเชษฐคือใคร และมีทั้งหมดกี่คน พลตำรวจตรีภัทรวิชญ์ บอกเพียงว่า ตำรวจเชื่อว่า มีคนร้ายมากกว่า 2 คน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคือใคร เพราะอยู่ในสำนวน ส่วนผู้ต้องที่เหลือคือผู้ที่ช่วยเหลือในการขนศพไปทิ้ง
ส่วนพฤติการณ์หลังจากก่อเหตุ จากการสอบปากคำประจักษ์พยาน ให้ข้อมูลว่า เห็นผู้ต้องหา 2 คน ช่วยกันทำร้ายร่างกายนายวรเชษฐ์ บริเวณสวนผักหลังบ้านของผู้ต้องหาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านผู้ตาย จากนั้นได้ลากศพของผู้ตายใส่ตะกร้าและช่วยขนศพมาที่บ้านของผู้ต้อง ก่อนที่สมาชิกในบ้านผู้ต้องหาแต่ละคนจะช่วยกันยกศพขึ้นรถพ่วงข้าง และขับไปโยนทิ้งศพ
ซึ่งขณะนั้นนายวรเชษฐยังไม่เสียชีวิต เมื่อถึงจุดที่ศพหนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหาได้จับผู้ตายกดน้ำให้แน่ใจว่าตายแล้ว และนำร่างลากไปทิ้งในคลองจุดที่พบศพ
ทีมข่าวถามต่อประเด็นที่ผู้ต้องหา ไปร้องเรียนว่า ตำรวจได้ให้เงินกับเด็กหญิงวัย 5 ขวบเพื่อให้เด็กสร้างเรื่องเอาผิดตัวผู้ต้องหา ตำรวจยืนยันว่า ตำรวจไม่ได้ให้เงินกับเด็กหญิงเพื่อสร้างแพะในคดี ผู้ที่ให้เงินเป็นฝั่งญาติของผู้ตายเอง ซึ่งเป็นการให้เงินเพื่อเลี้ยงไอติมเด็กหญิง หลังจากเหนื่อยล้าจากการสอบปากคำเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินเพียง 20 - 30 บาทเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่นายเกรียงศักดิ์ 1 ในครอบครัวผู้ต้องหา ตำรวจกลับไม่แจ้งข้อหา ทั้งที่ตอนแรกตำรวจบอกว่า นายเกรียงศักดิ์เป็น 1 ในคนฆ่า และเป็นตัวต้นเรื่อง เนื่องจาก แค้นที่ผู้ตายไปแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ นางทิพย์จันทร์ทา เมียของนายเกรียงศักดิ์ เรื่องนี้ตำรวจยอมรับว่า มีข้อมูลจากชุดสืบสวนที่ออกหาข่าวจริง แต่เนื่องจากประจักษ์พยาน ซึ่งเป็นเด็กหญิงวัย 5 ขวบเป็นลูกสาวของนายเกรียงศักดิ์เองไม่ได้ชี้ ว่าพ่ออยู่ในเหตุการณ์หรือเกี่ยวข้อง ทำให้พยานหลักฐานไปไม่ถึง จึงไม่สามารถแจ้งข้อหาได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ตำรวจจะไม่ทำคดีต่อ หากในอนาตตมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม ก็สามารถแจ้งข้อหากับคนอื่น ๆ ได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ พลตำรวจตรีภัทรวิชญ์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจได้ทำคดีอย่างหนักยังพบว่า มีกล้องวงจรปิดเพียง 1 ตัวในหมู่บ้าน ที่สามารถจับภาพผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ในเวลา 7 โมงเช้า ซึ่งสอดคล้องคำให้การของประจักษ์พยาน รวมไปถึงหลังจากเกิดเหตุ กลุ่มผู้ต้องหา มีพิรุธ เนื่องจากตำรวจยังไปพบว่า มีการถางพื้นที่สวนผักหลังบ้านทิ้ง คล้ายกับทำลายหลักฐานบางอย่าง รวมถึงเจอเมล็ดพันธ์พืชชนิดหนึ่ง ถูกหว่านบริเวณสวนผักหลังบ้านผู้ต้องหา หลังเกิดเหตุด้วย
ส่วนพยานหลักฐานส่วนอื่นๆ ทั้งตะกร้า (เข่ง) และรถพ่วงข้างที่ผู้ต้องหาใช้นำศพไปทิ้ง ตรวจไม่พบคราบเลือด หรือ หลักฐานดีเอ็นเออะไร เพราะเวลาผ่านมานานมากแล้ว เช่นเดียวกับสารเสพติดที่ไม่พบในตัวผู้ต้องหาทุกคน ซึ่งยอมรับว่า เป็นการทำคดีที่ยาก และหลักฐานน้อย แต่ตำรวจมั่นใจว่า คดีนี้ไม่มีการจับแพะแน่นอน
ในขณะที่นางสาวสุจิตรา อายุ 49 ปี หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นภรรยาของนายสมพร กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้ถูกดำเนินคดี เป็นจำนวน 6 คน ประกอบด้วยนายสมพร นางสุจิตรา ลูกชาย 1 คน ลูกสาว 2 คน และลูกเขย 1 คน แต่ขณะนี้ประกันตัวมาแล้ว 3 คน ซึ่งยังเหลืออีก 3 คน ประกอบด้วยลูกสาว 2 คน และลูกเขยอีก 1 คน ที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งตำรวจได้ตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันพยายามฆ่า อำพรางซ่อนเร้นศพ โดยตำรวจใช้หลักฐานจากการสอบปากคำเด็กอายุเพียง 5 ขวบ ซึ่งเป็นหลานสาวของตนเอง ซึ่งตอนนี้หลานของตนเองจิตตก กลัวตำรวจไม่กล้าไปโรงเรียน ซึ่งหลานบอกกับตนว่า ในวันสอบพยานตำรวจสั่งให้พูดอย่างเดียว จนทำให้หลานขวัญเสีย
ยืนยันว่าไม่เคยมีปัญหากับผู้เสียชีวิต เพราะเวลาพบเจอหน้ากันก็จะพูดดีกันตลอด ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกัน อีกทั้งตำรวจยังใช้มีดในครัว ที่ไม่มีลายนิ้วมือ ไม่มีคาบเลือด ใช้เป็นหลักฐานกล่าวหาครอบครัวตนเอง
นอกจากนี้นางสุจิตรา ยังกล่าวทั้งน้ำตาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ครอบครัวตนเอง “ถูกตราหน้าจากสังคม เพื่อนในหมู่บ้านว่าเป็นฆาตกร” จนไม่สามารถไปสู้หน้าใครได้ เพราะเขาเชื่อตำรวจ อีกทั้งต้องขายวัวจำนวน 7 ตัวไปขาย เพื่อนำเงินไปประกัน จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว และก็ไปติดหนี้ยืมสินคนอื่นเยอะแล้ว จึงอยากร้องเรียนให้นายกรัฐมนตรีช่วยให้ความเป็นธรรม
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับนางสาวอรอนงค์ ภรรยาของนายวรเชษฐ ผู้ตาย หลังจากครอบครัวของนายสมพรที่เจอศพเป็นคนแรก เดินทางไปร้องขอความเป็นธรรม ว่าถูกตำรวจยัดข้อหา โดยเธอเปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองนั้นเชื่อมั่นในพยานหลักฐานและการทำงานของตำรวจ
โดยที่ตนเชื่อมั่นในตำรวจนั้นเพราะเห็นการทำงานของตำรวจมาตลอดซึ่ง มีการจำลองเหตุการณ์ จับเวลา ทดลองใช้ยานพาหนะหลายรูปแบบเพื่อจำลองเหตุการณ์ที่คนร้ายน่าจะนำศพมาทิ้ง และสอบปากคำผู้ต้องสงสัย
ตอนนี้ที่ผู้ต้องหาออกไปร้องขอความเป็นธรรมนั้นตนก็มองว่าเป็นสิทธิ์ของเขา ซึ่งบทสรุปจะเป็นยังไงก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และพยานหลักฐานที่ตำรวจได้มา แต่ตนเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจในบางคำพูด เช่นการที่เขาบอกว่าต้องขายวัวและสูญเสียทรัพย์สินไปหมดตัวเพื่อจะมาต่อสู้คดีนั้น ฝ่ายตนเองก็สูญเสียไม่ต่างกันโดยเฉพาะเสาหลักของครอบครัว โดยตนเองต้องหาเงินเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง
ขณะเดียวกันมีชาวบ้านให้ข้อมูลอีกว่าหลังจากเกิดเหตุบ้านหลังดังกล่าวก็มีพฤติกรรมที่ดูผิดปกติบางอย่าง ซึ่งตนเองก็ไม่อยากจะไปพูดถึง เนื่องจากไม่อยากจะไปปรักปรำ และอยากให้ดูที่หลักฐานเป็นหลัก
ส่วนกรณีที่มีการพูดถึงประจักษ์พยานซึ่งน่าจะเป็นเด็กวัย 5 ขวบ ที่เป็นคนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนนำไปสู่การขอศาลออกหมายจับได้นั้น ส่วนตัวตนเองก็พอจะรู้จักกับเด็กคนดังกล่าวแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมเพราะเป็นเด็กที่อยู่ในหมู่บ้าน เห็นเป็นคนที่พูดเก่งและฉลาด ตนก็มีลูกซึ่งอยู่ในวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก ก็คิดว่าการที่เด็กให้กันเป็นเรื่องเป็นราวนั้นก็เป็นไปได้และตนก็เชื่อมั่นว่าทางตำรวจเองก็น่าจะมีวิธีการพูดคุยจนกระทั่งได้ข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานจนกระทั่งศาลเชื่อจนนำไปสู่การออกหมายจับ
ขณะเดียวกันตนเอง ยอมรับว่าสามีเสพยาแต่ไม่เคยไปมั่วสุมกับที่บ้านของผู้ต้องอย่างที่ตำรวจสงสัย และยืนยันว่า สามีเองไม่เคยมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งบาดหมางอะไรกับใคร ตนเองจึงไม่รู้ว่าปมที่ทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือเป็นเพราะอะไร ส่วนประเด็นที่ตำรวจมีการระบุว่าสาเหตุอาจเป็นในเรื่องชู้สาวหรือเรื่องยาเสพติดนั้น ในส่วนนี้ตนก็ไม่ทราบเรื่องซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานของทางตำรวจ แต่ยันยัน ตนเองไม่เคยระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของสามีกับนางทิพย์จันทร์ทา อย่างที่ตำรวจสงสัย แต่ก็เชื่อมั่นว่าตำรวจไม่น่าจะจับแพะ และขอบคุณตำรวจมากที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวตนเอง
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้รับข้อมูลมาอีกว่า ที่บ้านของผู้ก่อเหตุมีการทำพิธีบางอย่างนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่ตำรวจได้ออกหมายจับ ซึ่งในวันดังกล่าวมีวัวได้มาชนศาลพระภูมิจนพังเสียหาย จนทำให้ต้องมีการตั้งศาลพระภูมิใหม่ และมีการเชิญหมอมาทำพิธี นอกจากนั้น ก็ยังมีการโรยปูนขาวบริเวณโดยรอบบ้านอีกด้วย ซึ่งชาวบ้านบางคนสงสัยว่า อาจเพราะครอบครัวผู้ต้องหากลัวความผิดบาปกรรมหรือไม่ ถึงได้ทำพิธีแปลก ๆ หลังเกิดเหตุ