นายกิตติ นายจักริน นายสมรัฐ ทายาทหมื่นล้าน 3 จาก 4 คน มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยทีมทนายความ ได้มาแถลงข่าวและนำเอกสารพร้อมคลิปวีดีโอบางส่วน มานำเสนอขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนให้ช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำพินัยกรรมที่ไม่ชอบมาพากลและการถ่ายโอนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินหลายแปลง ก่อนที่เป็นพ่อจะเสียชีวิต และทรัพย์สมบัติอีกหลายอย่าง รวมไปถึงการตัดทายาททั้ง 3 คน ซึ่งเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายออกจากกองมรดก
หนึ่งในทายาท เผยว่า เนื่องจากคุณพ่อ ไม่ขอเปิดเผยชื่อจริง ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2566 ต่อมาได้มีการเปิดพินัยกรรมที่มีการทำขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 ระบุว่า พ่อได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบุตรชายคนโตเพียงคนเดียว จึงเป็นข้อพิรุธเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อปลายปี 2563 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าคุณพ่อป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ รวมถึงสติสัมปชัญญะก็ไม่มี ถึงขั้นจำลูกตัวเองไม่ได้ ต่อมาพบว่ามีทายาทคนหนึ่ง ไปขอใบรับรองแพทย์ โดยแพทย์ระบุว่าเป็นโรคสมองเสื่อม ไม่สามารถทำธุรกรรมหรือพินิจกรรมใดๆได้ ต่อเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะทำพินัยกรรมขึ้น จนมาถึงปี 2565-2566 ได้มีการทำนิติกรรมขึ้น แต่มีข้อสงสัยหลายอย่าง เช่นการถอนเงินกองทุนของคุณพ่อ 134 ล้านบาท โดยมีการทยอยถอนครั้งละ 30 ถึง 40 ล้านบาท เพียงระยะเวลา แค่ 6 เดือน ปัจจุบันไม่รู้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวหายไปหมด และเงินดังกล่าวผู้ใดเป็นคนถอนและนำเงินทั้งหมดไปเข้าบัญชีใครนอกจากนี้ยังมีการโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ของคุณพ่อจำนวนหลายแปลง กว่า 300 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 5000 ล้านบาท โดยใช้วิธีการปั๊มล้ายนิ้วมือ เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา และในช่วงเวลาเดียวกันยังมีการมอบอำนาจ ที่เป็นการลงนามลายเซ็น และมีการโอนสิทธิบัตรผู้ได้รับอนุญาต โรงเรียน หรือมีการเปลี่ยนเจ้าของโรงเรียนทั้ง 3 แห่ง เป็นบุคคลอื่น ซึ่งทายาททั้ง 3 คน มองว่า การกระทำเหล่านี้ เป็นการฉวยโอกาสที่คุณพ่อป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ที่มีผลต่อการรับรู้และการตัดสินใจ
จากการที่มาแถลงข่าวทั้งหมด ให้สื่อมวลชนในจังหวัดนครราชสีมาในครั้งนี้เพื่อต้องการ ขอความเป็นธรรม และไม่อยากให้ธุรกิจที่คุณพ่อสร้างมากับมือมาเป็นเวลากว่า 40-50 ปี เกิดความเสียหายมากไปกว่านี้ และต้องการทวงความเป็นสิทธิ์ ของลูก กลับมาคืน ในส่วนของการเสียชีวิตของคุณพ่อ 1 ในทายาทได้ปิดกั้นไม่ให้ลูกชายทั้ง 3 คนเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ และเข้าไปเจอหรือได้พูดคุยดูแลคุณพ่อ ในช่วงที่คุณพ่อนอนอยู่ไอซียูแล้ว ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของคุณพ่อ ทางแพทย์ระบุว่าเป็นการติดเชื้อที่ปอด แต่ในระยะที่ผ่านมาตนเองและน้อง ๆ ทั้ง 3 คนก็ไม่รู้ว่า คนที่บ้านเขาดูแลคุณพ่อแบบไหน ในส่วนของคุณพ่อนั้น เป็นคนเชื้อสายจีน โดยกำเนิด เมื่อเสียชีวิตแล้วจะต้อง นำฝังศพ ไว้ที่ฮวงซุ้ย ที่คุณพ่อเคยซื้อที่ดินไว้และประสงค์ที่ต้องการจะฝังร่างของคุณพ่อไว้ตามที่คุณพ่อเคยปรารภไว้ว่าให้ฝังศพ แต่เมื่อคุณพ่อเสียชีวิตลงกลับนำมาฌาปนกิจศพ แทนที่จะฝังตามที่คุณพ่อเคยกล่าวไว้
ทางด้านทนาย ประจำตัว เผยว่า ทายาทกำลังใช้สิทธิตามกฎหมาย ค่อนข้างชัดเจน ว่าใครเป็นผู้นำไป เบิกถอนเงิน ในขณะป่วย โดยบัญชีดังกล่าว 134 ล้าน ถูกปิดไปแล้ว ในส่วนของการ แถลงข่าวออกสื่อในวันนี้ เพื่อต้องการหาความปลอดภัยของทายาททั้ง 3 คน เนื่องจากว่า มรดกของตระกูลดังกล่าวมีมูลค่ามหาศาล เกรงว่าจะเกิดอาชญากรรมหรือมีการปองร้ายหรือทำร้ายเกิดขึ้น เหมือนตระกูลดังๆที่เคยมีข่าวแย่งทรัพย์สมบัติหรือมรดกจนเป็นเรื่องเป็นราวตามสื่อต่างๆที่ผ่านมา ดังนั้นทางทายาททั้ง 3 คนที่มาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ มีความประสงค์ต้องการอยากให้สื่อช่วยมาส่องดูแล เบื้องต้น ส่วนทางทายาททั้ง 3 คน ได้มีการร้องขอในการจัดตั้ง ผู้จัดการมรดกโดยมีบุตรคนที่ 2 -3 -4 ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดพินัยกรรมแล้ว คาดว่าจะต้องทำการคัดค้าน ผู้จัดการมรดกคนปัจจุบันต่อไป ทายาททั้ง3 คนของตระกูลดังดังกล่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชนในครั้งนี้ หากทั้ง3 คนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจะเดินเรื่องฟ้องร้องและคัดค้านต่อกระบวนการยุติธรรมต่อไป
ล่าสุดผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมาพบกับนายกัมพล ทนายประจำของบุตรคนที่2 โดยได้นำเอกสารสำเนาหลักฐานต่างๆ เช่น สำเนาพินัยกรรม ,ใบรับรองแพทย์ และคลิปทางลูกชายคนที่ 2 บันทึกไว้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าในขณะนั้นบิดา ไม่สามารถเซ็นเอกสารต่างๆ โดยได้นำมาเปิดเผยต่อหน้านักข่าว
นายกัมพล ทนายประจำตัวของบุตรคนที่2 เปิดเผยว่า ก่อนที่บิดา ผู้ใบรับอนุญาตจะเสียชีวิตได้มีการบอกกล่าวกับลูกทั้ง 4 คน ว่าจะมีการแบ่งทรัพย์สินให้เท่ากัน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2566 บิดาได้เสียชีวิต จากนั้นได้มีการเปิดพินัยกรรมที่ทำขึ้นมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 โดยภายในพินัยกรรมได้ระบุว่าทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของบุตรชายคนโตแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทางลูกทั้งคน 3 คน มองว่าผิดวิสัยของคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาล
หลังจากนั้นจึงได้มีการตรวจสอบจึงพบว่าในช่วงปลายปี 2563 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าบิดาป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม มีสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน ก่อนที่ในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 แพทย์ได้ระบุว่าบิดาเป็นโรคอัลไซเมอร์ไม่สามารถทำธุรกรรมหรือนิติกรรมใดๆได้
ต่อมาในวันที่ 14 ตุลาคม 2564 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าบิดาไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้และเป็นผู้ป่วยติดเตียง และในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 แพทย์ได้ออกใบรับรองระบุว่าสูญเสียสมรรถภาพทางสมองทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ไม่สามารถทำธุรกรรมใดใดได้
ต่อมาจึงได้ตรวจสอบพบ ประวัติการรักษาของบิดาพบว่าเคยมีทายาทไปขอใบรับรองแพทย์ โดยแพทย์ได้วินิจฉัยและระบุข้อความในใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะมีการจัดทำพินัยกรรมก็คือวันที่ 7 มิถุนายน 2564
ขณะเดียวกันในช่วงปลายปี 2565 จนถึงต้นปี 2566 มีการเบิกถอนเงินกองทุน จำนวนเงิน 134 ล้านบาท โดยได้เป็นการเบิกถอนครั้งละ 30 ถึง 40 ล้านบาทภายในระยะเวลา 6เดือน ซึ่งบัญชีดังกล่าวทางบิดาถือครองไว้เพื่อเป็นวัตถุประสงค์จะเป็นการลงทุนระยะยาว
อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวนหลายแปลงรวมแล้วกว่า 500 ไร่ซึ่งมีมูลค่ากว่า 6000 ล้านบาท โดยมีการใช้วิธีปั๊มลายนิ้วมือของบิดาเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยไม่ใช่ลายเซ็นของบิดาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ทางทนายยังบอกอีกว่าในระหว่างที่บิดาป่วยและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ทางบุตรคนที่ 1 ซึ่งเป็นลูกชายคนโตกีดกันไม่ให้น้องชายทั้งสามคนเข้าไปเยี่ยมอาการ ซึ่งถ้าหากอยากเจอพ่อจะต้องสะกดรอยตาม
ส่วนประเด็นการถ่ายคลิปตอนที่ให้บิดาเซ็นเอกสาร บนรถวีลแชร์รวมไปถึงการให้บิดาอวยพรในวันมงคล ที่อยู่บนเตียงนอน เพื่อเป็นการยืนยันว่าบิดาไม่สามารถช่วยเหลือตนเองและเซ็นเอกสารต่างๆได้เอง ต้องคอยชี้นำ จึงเป็นเหตุทำให้ทายาทที่เหลือไม่เชื่อว่า เอกสารพินัยกรรมที่นำมาเปิดเผยที่มีลายเซ็นของบิดาเป็นเอกสารจริง สืบเนื่องจากลายเซ็นในพินัยกรรมกับเอกสารที่นำฝากจ่ายหน้าซองลายเซ็น มีลักษณะไม่คล้ายกัน ก่อนนำพินัยกรรมดังกล่าวไปฝากไว้ที่อำเภอ โดยคาดว่าไม่มีการซักถามรายละเอียดต่อหน้านายอำเภอ เพื่อเป็นการยืนยันรับมรดก
ขณะเดียวกันเราได้เดินทางไปพบกับนายสนธยา ผู้ได้รับมอบอำนาจจากอธิบดีและเป็นที่ปรึกษาผู้รับใบอนุญาต ได้ออกมาเปิดเผยกับเราและได้โต้แย้งทุกประเด็นที่ฝ่ายทายาททั้ง 3 คนกล่าวอ้าง ว่า กรณีที่ทายาททั้ง 3 กล่าวอ้างว่าบิดาป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ไม่สามารถทำธุรกรรมหรือเซ็นเอกสารต่างๆได้ ในระหว่างก่อนที่จะมีการทำพินัยกรรม ซึ่งความเป็นจริง ก็คือบิดา ไม่มีอาการป่วย เป็นอัลไซเมอร์หรือหลงลืมรวมไปถึงไม่ได้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ส่วนใบรับรองแพทย์ทางทายาทนำมาแสดงกล่าวหาว่าเป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ตลอดชีวิตไม่สามารถรักษาหายได้นั้น เป็นใบรับรองแพทย์เฉพาะช่วงเวลาที่ ไปตรวจสุขภาพตามนัด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการฟ้องร้อง ทางฝั่งของอธิการบดีซึ่งเป็นลูกชายคนโตผู้รับมรดกทั้งหมดได้มีการเบิกพยานซึ่งเป็นแพทย์ที่ทำการรักษา และแพทย์ได้ยืนยันว่าบิดาไม่ได้ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ตามที่ทายาทที่เหลือกล่าวอ้าง
ส่วนกรณีการโอนถ่ายกรรมสิทธิ์ที่ดินไปยังผู้อื่น ซึ่งบิดามีเจตนารมณ์โอนที่ดินในส่วนของมหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งให้กับกระทรวงการอุดมศึกษา เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนกรณีที่มีการนำฝากพินัยกรรมที่อำเภอ ตนเองขอยืนยันว่าได้มีการซักถามบิดา ถึงผู้รับมรดกทั้งหมดต่อหน้านายอำเภอและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก่อนปิดผนึกและเซ็นเอกสารปิดหน้าซอง ซึ่งตนเองก็เป็นหนึ่งในพยานที่รู้เห็นในการฝากพินัยกรรมในครั้งนี้ว่าถูกต้อง ครบถ้วนตามกฎหมาย
ส่วนกรณีที่ฝ่ายทางอธิการบดีซึ่งเป็นลูกชายคนโตไม่ยอมให้ทายาทที่เหลือเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทางอธิการบดีไม่ได้กีดกัน และสามารถให้ทายาททั้งสามคนเข้าไปเยี่ยมและไปดูแล ได้ตลอด แต่ฝั่งของทายาททั้งสามคนต่างหากที่นานๆครั้งจะมาเยี่ยม ซึ่งการมาเยี่ยมทุกครั้งก็จะเป็นการถ่ายคลิปและจัดฉากว่าถูกขับไล่ รวมไปถึงการไปดักเจอบิดาตามสถานที่ต่างๆ หลังจากที่นางปราณี ทราบว่าลูกทั้งสามคนมีพฤติกรรมเหล่านี้ จึงได้รู้สึกเสียใจและสั่งห้ามไม่ทั้ง 3 คนมาเยี่ยมพ่อ
ทั้งนี้ที่ปรึกษาของอธิการบดีได้เปิดเผยอีกว่ากรณีที่ทายาททั้งสามคนได้ไปยื่นขออนุบาล ว่าบิดาคือบุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง และทำธุรกรรมได้ ตนเองขอยืนยันว่าสามารถทำธุรกรรมต่างๆได้ เมื่อเสียชีวิต ทายาททั้ง 3 คน ได้ยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดก โดยอ้างว่า ไม่ทราบว่าบิดาทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้น ตนเองขอยืนยันว่าได้มีการส่งเอกสารให้กับทายาททั้งสามคน เพื่อให้ทราบโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว
ตอนนี้ทางครอบครัวของอธิการบดีเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดแต่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยให้กับสื่อมวลชนได้ หวั่นว่า จะกระทบกับรูปคดี และจะนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดไปต่อสู้ในชั้นศาล