จากกรณีที่ 3 ทายาทหมื่นล้าน มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยทีมทนายความ ได้มาแถลงข่าวและนำเอกสารพร้อมคลิปวิดีโอบางส่วน มานำเสนอขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนใ ห้ช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำพินัยกรรมที่ไม่ชอบมาพากล และการถ่ายโอนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินหลายแปลงก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเสียชีวิต และทรัพย์สมบัติอีกหลายออย่าง รวมไปถึงการตัดทายาททั้ง 3 คน ซึ่งเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายออกจากกองมรดก
ล่าสุด วันนี้ 3 พี่น้องทายาทตระกูลดัง ประกอบด้วย นายสมรัฐ ทายาทคนที่ 2 นายกิตติ ทายาทคนที่ 3 และนายจักริน ทายาทคนที่ 4 พร้อมทนายความ ได้ออกมาเปิดใจกับทีมข่าวเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวว่า คุณพ่อเป็นคนที่ชื่นชอบการศึกษาจึงได้มีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นทั้งหมด 3 แห่ง ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับปริญญาตรี โดยคุณพ่อเริ่มต้นก่อตั้งสถาบันทั้ง 3 แห่งมาจากศูนย์ ส่วนลูกชายทั้ง 4 คนจะมีหน้าที่บริหารธุรกิจเกี่ยวกับสถานศึกษาทั้ง 3 แห่ง โดยมีหน้าที่แตกต่างกันไป และคอยประชุมหาทางออกเมื่อเจอปัญหา หรือถ้ามีปัญหากันภายในวงประชุม พ่อก็จะเป็นคนตัดสินใจและหาทางออกให้ เนื่องจากพ่อเคยบอกเสมอว่าพ่อมีลูกชาย 4 คน ก็เหมือนกับเสา 4 ต้นที่ต้องเป็นหลักให้กับวงศ์ตระกูล ดังนั้นจะไม่สามารถขาดเสาต้นใดต้นหนึ่งไปได้
แต่หลังจากที่พ่อป่วย แม่ก็จะเข้ามาทำหน้าที่แทนพ่อ โดยช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่มีการประชุมก็จะปิดจบได้ดี แต่พักหลังมาเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ คือหลังผ่านวันประชุมไปประมาณ 1-2 วัน แม่จะมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ที่มีการสรุปในวงประชุม ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อนข้างเอื้อผลประโยชน์ให้กับลูกชายคนโต แต่จนถึงปัจจุบันพวกตนทั้ง 3 คนก็ยังทำงานในธุรกิจสถาบันการศึกษาของพ่ออยู่
นอกจากนี้ ทายาททั้ง 3 คนยังได้พูดประเด็นที่มีการถ่ายคลิปวิดีโอของเจ้าสัวมุข ขณะเซ็นเอกสารบนวีลแชร์เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 65 ตนเองยอมรับว่า มีการนัดแนะกับคนขับรถคนเก่า เพื่อเอาเอกสารจำลองซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับพินัยกรรม เพียงแค่รับรู้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลหลังพ่อเริ่มมีอาการป่วย จึงอยากทดสอบว่าสติสัมปชัญญะและสมรรถภาพในการทำความเข้าใจกับเอกสารต่างๆ ว่า ยังปกติอยู่หรือไม่ ซึ่งปรากฏตามคลิปว่า ทุกครั้งที่จะมีการเซ็นเอกสารจะต้องมีคนคอยชี้แนะ หรือบางครั้งต้องมีการจับมือไปวางที่จุดที่จะเซ็น ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในชั้นศาลแต่อย่างใด
ช่วงแรกๆ พวกตนก็สามารถพาครอบครัวเข้าไปเยี่ยมได้ แต่พักหลังด้านลูกชายคนโตกลับปิดกั้นไม่ให้ลูกชายคนรองทั้ง 3 คนเข้าไปดูแล แม้กระทั่งเข้าเยี่ยม พบเจอหรือพูดคุยก็ถูกกีดกันทั้งหมด จึงทำให้ทั้ง 3 คนไม่รู้เลยว่า ลูกชายคนโตทำอะไรกับพ่อบ้าง หรือดูแลกันแบบไหน เนื่องจากลูกชายคนโตจ้างพยาบาลให้เข้ามาดูแล 24 ชั่วโมง
ขณะเดียวกัน ทั้ง 3 คนยังได้กล่าวถึงข้อพิรุธเกี่ยวกับพินัยกรรมของพ่อ โดยก่อนมีการจัดทำพินัยกรรมนั้น พยาน 2 คนในพินัยกรรมและผู้เขียนพินัยกรรมไม่เคยรู้จักกับพ่อมาก่อน โดยพยาน 2 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษาของลูกชายคนโต แต่ในอดีตเป็นเพียงแค่คนขับรถของ “นายมุข” ส่วนอีกคนคือพยาบาลส่วนตัวของ “นายมุข” ซึ่งทั้งสองไม่มีความสนิทชิดเชื้อกับครอบครัวของตนมาก่อนเลย แต่ถ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ห่างๆ กัน ตนจะไม่ติดใจ
แล้วภายหลัง พวกตนสืบทราบว่า ผู้เขียนพินัยกรรมและพยานครั้งนี้ มีความสนิทชิดเชื้อกับลูกชายคนโตและภริยามาเป็นเวลานาน ถึงขนาดผู้เขียนพินัยกรรม เคยเป็นทนายความว่าความให้กับลูกชายคนโตผู้รับพินัยกรรมทั้งหมด ที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ช่วงปี 2561-2562
แล้วหลังจากมีการจัดทำพินัยกรรมในวันที่ 2 กันยายน 2564 ผู้เขียนพินัยกรรมและพยานก็ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการของครอบครัวพวกตน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยานทั้ง 2 ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสถาบันการศึกษาอื่นหรือมีคุณวุฒิในทางวิชาการเลย การเข้ามาของบุคคลทั้ง 2 ทำให้บุคลากรในสถาบันต่างสงสัยว่าใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณา เนื่องจากสถาบันการศึกษาเป็นสถาบันแบบเฉพาะที่มีกฎเกณฑ์กำกับ บุคลากรควรจะต้องมีคุณวุฒิหรือประสบการณ์ในแวดวงการศึกษา
เอกสารประวัติตรวจร่างกาย และการวินิจฉัยเจ้าสัวหมื่นล้าน
7 มิ.ย. 64 ระบุไม่สามารถทำธุรกรรมหรือนิติกรรมได้
14 ต.ค.64 เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
1 ธ.ค.64 สูญเสียสมรรถภาพทางสมอง ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้
24 ก.พ.65 ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้
ต่อมา เราได้รับภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดวันที่ 21 มีนาคม 2565 จากบ้านของลูกชายคนที่ 4 ที่เผยให้เห็นว่า คนงานจำนวนหนึ่งได้เข้ามาก่อสร้างกำแพงปิดกั้นทางเชื่อมระหว่างบ้านของเจ้าสัว บ้านพี่ชายคนโต ปิดกั้นไม่ให้ทั้ง 3 ทายาท เข้าไปในบริเวณบ้านของเจ้าสัว ซึ่งโดยปกติแล้วหากทายาททั้งสามคนจะเข้าไปพบพ่อแม่จะใช้ทางเชื่อมดังกล่าว แต่หลังจากที่มีการปิดกั้น ทำให้ทายาททั้งสามคนไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมพ่อที่มีอาการป่วยได้
ขณะเดียวกันเราได้เดินทางไปพบกับนายสนธยา ที่ปรึกษาอธิการบดี ซึ่งได้ออกมาตอบโต้ประเด็นข้อสงสัยของ 3 พี่น้องเกี่ยวกับใบรับรองแพทย์ที่ 3 พี่น้องนำมาเปิดเผย
นายสนธยายืนยันว่า เอกสารที่นำมาเปิดเผยไม่ใช่ใบรับรองแพทย์ที่ขอจากโรงพยาบาลที่นายมุขรักษา แต่เป็นใบจ่ายยาตามอาการเท่านั้น ซึ่งเรื่องใบรับรองแพทย์นี้ หลังจากที่มีการฟ้องร้องกันในศาล ได้เบิกตัวแพทย์ที่รักษามาให้ข้อมูล แพทย์ได้ให้ความเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการรักษาและจ่ายยาตามอาการ ศาลพิจารณาว่าเอกสารดังกล่าวใช้ไม่ได้หลังเบิกตัวแพทย์มาให้ความเห็น อีกทั้งให้ลูกชายทั้งสามคนกราบขอโทษแม่ต่อหน้าบัลลังก์ นายสนธยายืนยันอีกว่า ฝ่ายลูกชายคนโตไม่ได้เป็นคนไปขอใบรับรองแพทย์
ส่วนกรณีที่มีคลิปวิดีโอที่ฝ่ายทายาททั้งสามคนได้ไปดักรอพบที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ตนเองก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ทั้งหมดเป็นการวางแผนและเป็นการจัดฉาก เตรียมการกับคนขับรถ ให้พานายมุขไปนัดเจอตามสถานที่ ก่อนจะมีการถ่ายคลิปวิดีโอไว้เพื่อใช้ในชั้นศาล
ส่วนประเด็นที่ทางทายาทกล่าวอ้างว่า ได้มีการปิดกั้นประตูไม่ให้ลูกชายทั้งสามคนเข้าไปเยี่ยมพ่อ ไม่เป็นความจริงตามภาพที่ปรากฏ เป็นเพียงการซ่อมผิวถนนทางเข้าบ้าน เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจึงได้มีการปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้รถเข้าออก และล่าสุดประตูดังกล่าวก็ได้เปิดใช้การนานแล้ว
ส่วนประเด็นที่ทาง 3 ทายาทตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมตัวเองถึงมีรายชื่อปรากฏในพยานบนใบปะหน้าซองนำฝากพินัยกรรม เจ้าตัวยอมรับว่า เป็นคนเซ็นจริง แต่เป็นการเซ็นหลังจากมีการปิดผนึกพินัยกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นตนยืนยันว่าไม่ได้เห็นรายละเอียดที่ระบุในพินัยกรรมตั้งแต่แรก มาเห็นอีกทีคือหลังจากมีการเปิดพินัยกรรมพร้อมกัน เมื่อวันที่ 22 มกราคม 67
และเมื่อทีมข่าวถามว่า ทำไมในรายละเอียดพินัยกรรมถึงระบุชัดเจนว่า ตัดสามทายาทที่ออกมาร้องเรียนออกจากกองมรดก เจ้าตัวบอกว่า ในส่วนของรายละเอียดทั้งหมด อยากให้รอคำชี้แจงจากแม่หรือภรรยาของนายมุขในวันพรุ่งนี้ แต่เท่าที่ตนสามารถบอกได้คือเกิดจากความที่นายมุขไม่พอใจในพฤติกรรมหลายอย่างของลูกทั้งสามคน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้มากๆ จึงตัดสินใจระบุในพินัยกรรมเช่นนั้น และถ้าเป็นผม ผมก็ตัดออกจากกองมรดกเหมือนกันและมากกว่านั้นด้วย
ส่วนเงินจำนวน 134,000,000 ที่ถูกถอนออกจากกองทุนของนายมุขนั้น เจ้าตัวยืนยืนยันว่ามีการถอนจริง และถอนออกอย่างถูกต้อง แต่ภายหลังมีเงินบางส่วนถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ซึ่งพรุ่งนี้จะมีการชี้แจงรายละเอียด แต่ขณะเดียวกันเงินส่วนที่เหลือยังอยู่ครบ แต่ขอไม่ระบุจำนวนเพราะเกรงว่าจะกระทบรูปคดี