ผบช.ภ.1 แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงหลังใช้ปืนยิงคู่กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนผู้จ้างวานยังหลบหนี

เวลา 11.30 น. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ สภ.สำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ พล.ต.ท จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.วิโรน์ ตัดโส ผกก.สภ.สำโรงเหนือ พร้อมชุดสืบสวน สภ.สำโรงเหนือ ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมนายปรีชา หรือไผ่ อายุ 34 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ในข้อหาพยายามฆ่า พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร  โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่จังหวัดอุดรธานี

 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ได้รับแจ้งว่า มีเหตุทำร้ายร่างกาย (ถูกยิง) มีผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณปากซอยแบริ่ง หมู่ที่ 9 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบผู้บาดเจ็บ ชื่อ นายราม ถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงเข้าบริเวณใต้รักแร้ขวา และแขนขวา ตำรวจได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนกระทั่งทราบว่าผู้ก่อเหตุ คือ นายปรีชา หรือไผ่ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนขออนุมัติหมายจับ

ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่า นายปรีชา หรือไผ่ หลังก่อเหตุได้หลบหนีไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.สำโรงเหนือ ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายปรีชาที่ซุ้มไก่แห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

จากการสอบสวน นายปรีชา หรือไผ่ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และให้การว่าได้ก่อเหตุจริง โดยได้รับการจ้างวานมาในราคา 50,000 บาท ได้รับเงินสดมาแล้ว 18,000 บาท โดยในวันก่อเหตุ (9 กุมภาพันธ์2567) คนร้ายได้มาดูต้นทางบริเวณบ้านของผู้บาดเจ็บ และ ได้แกล้งทำตัวเป็นคนสติไม่ดีเดินคุ้ยขยะบริเวณถังขยะหน้าปากซอยทางบ้านของผู้บาดเจ็บ เมื่อผู้บาดเจ็บขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาถึงคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนแบลงค์กันดัดแปลง บรรจุกระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 1 นัด ที่เตรียมมา ยิงผู้บาดเจ็บ กระสุนถูกบริเวณแขนขวา ทะลุเอวด้านขวา กระสุนฝังกำแพงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นผู้ต้องหาได้หลบหนีไป

โดยที่ช่วง 12.30 น. วันเดียวกัน ตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ได้คุมตัวนายปรีชาผู้ต้องหา ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณจุดที่เกิดเหตุ โดยไล่เรียงจากจุดที่ผู้ต้องหาดูลาดเลาบริเวณตรงข้ามหน้าปากซอยที่เกิดเหตุในช่วงสาย ก่อนจะมานั่งคุ้ยขยะบริเวณหน้าปากซอยกว่า 10 นาที จนผู้บาดเจ็บขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา โดยที่ผู้บาดเจ็บบอกตนเองว่า ห้ามนอนตรงนี้ ตนเองก็ตอบว่าโอเคครับ แล้วใช้ปืนที่ใส่ในถุงดำซึ่งวางไว้ข้างถุงขยะยิงใส่ผู้บาดเจ็บไป 1 นัด แล้วหลบหนีไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พาไปทำแผนตามเส้นทางหลบหนี

 

พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผบช.ภ.1 กล่าวว่า ในส่วนของผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้จ้างวานฆ่า มีความสัมพันธ์เป็นอาเป็นหลานกัน อาจจะมีความขัดแย้งส่วนตัว ทำให้หลานไปจ้างวานกลุ่มแก๊งนี้มาพยายามฆ่าผู้เป็นอา ประมาณว่าทำธุรกิจร่วมกันก็เลยขัดแย้งกัน ในส่วนของผู้รับงาน รับงานมาแล้วให้มือปืนปลอมตัวเป็นคนจรจัดและไปรอซุ่มอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนที่ว่าทำไมถึงต้องปลอมตัว ต้องรอสอบปากคำอีกที และต้องชมเชยในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะใช้เวลาน้อยในการสืบสวน จนมาเจอว่าเป็นกรณีของคดีจ้างวานฆ่า ส่วนการจับกุมผู้ต้องหาเจ้าหน้าที่ได้ไปตามจับกุมตัวถึงจังหวัดอุดรธานี ยังเหลือในส่วนของผู้จ้างวานฆ่าที่ต้องสืบหาและตามจับกุมต่อไป

คดีนี้เป็นผลการดำเนินการของภูธรจังหวัดสมุทรปราการ โดย สภ.สำโรงเหนือ เรื่องนี้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เป็นคดีพยายามฆ่า ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนมาคุ้ยขยะธรรมดา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 วัน เศษ วันที่ 11 ทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ ซึ่งคดีนี้เป็นกรณีที่เกิดจากความแค้นส่วนตัว และสามารถที่จะทราบตัวผู้จ้างวาน ตัวผู้รับงาน สามารถที่จะทราบคนที่นำอาวุธปืนมาให้กับผู้ต้องหา วันนี้ก็สามารถตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว ในส่วนของผู้รับงานและผู้นำอาวุธปืนมาก็สามารถติดตามทราบตัวและจะออกหมายจับทันที และในส่วนของผู้จ้างวาน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ทราบแล้วว่าเป็นใคร เหลือเพียงแค่ติดตามจับกุมมาดำเนินคดี

 

นายปรีชา ผู้ต้องหา เล่าว่า มีคนมาติดต่อตนให้รับงาน และจะให้ค่าจ้างวาน เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ด้วยการใช้คำพูดว่าทำงานหรือเปล่า ถ้าอยากได้เงิน ก่อนจะมารับไปดูสถานที่ก่อเหตุและให้ปลอมตัว โดยฝ่ายผู้ว่าจ้างวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว โดยเล่าว่า ตนไปยืนรอทั้งวันที่หน้าบ้าน ทำทีเป็นเก็บขยะ พอเป้าหมายออกมาก็ลงมือยิงทันที พอก่อเหตุเสร็จก็หนีกลับอุดรฯ ตามแผนที่วางเอาไว้ และได้ไปหลบอยู่ที่ซุ้มไก่ในจังหวัดอุดรฯ

เจ้าตัวเล่าว่า ตนเองกำลังต้องการเงิน พอผู้จ้างวานมาจ้างในจำนวนเงิน 50,000 บาท ก็เลยรับงาน และตนก็รู้จักกับผู้จ้างวานเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุตนเองไม่รู้ เพราะอีกฝ่ายบอกแค่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนเงินว่าจ้างก็ยังได้ไม่ครบ เจ้าตัวฝากถึงผู้บาดเจ็บว่าไม่ได้ตั้งใจ ส่วนเรื่องที่รับจ้างเพื่อจะเอาเงินไปดูแลลูกแต่ต้องมาโดนจับเสียก่อน ก็ต้องยอมรับความจริง

ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในซอยที่เกิดเหตุ วันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยจะเห็นนายปรีชา แต่งตัวมอซอทำทีเป็นคนเก็บขยะเดินวนไปมาอยู่หน้าบ้านชายชาวอินเดียผู้บาดเจ็บ

จนช่วงเวลา 19.51.19 น.จะเห็นนายปรีชาเดินออกมาจากต้นไม้หน้าบ้าน ก่อนชักปืนที่คลุมด้วยถุงพลาสติกดำออกมายิงใส่ชายชาวอินเดียที่คร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ พอยิงเสร็จ ก็เดินหนีไปหน้าปากซอยอย่างหน้าตาเฉย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

หลังจากแถลงเสร็จ ได้คุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผน โดยจุดที่ 1 ผู้ต้องหาหลบซ่อนตัวและยิงคนเจ็บ โดยผู้ต้องหาบอกว่าได้ปลอมตัวเป็นคนจรจัดเก็บขยะ และมาคุ้ยขยะบ้านคนเจ็บเพื่อดูลาดเลา โดยวันเกิดเหตุคนเจ็บขี่รถจักรยานยนต์มาจอดและต่อว่า อย่ามาคุ้ยขยะและนอนตรงนี้ พอสบโอกาสปลอดคน ผู้ต้องหาจึงเอาปืนที่ที่ซ่อนในถุงดำยิงชายชาวอินเดียได้รับบาดเจ็บ ก่อนเดินหลบหนีไปหน้าปากซอย

จากนั้นจุดทำแผนที่ 2 บริเวณที่ผู้ต้องหาได้เดินออกมาจากหน้าปากซอย ซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเป็นจุดที่ตำรวจสามารถแกะรอยคนร้ายจากจุดนี้ได้ เพราะคนร้ายบอกเลขสมาชิก ทำให้รู้ว่าเป็นใคร

 

จุดทำแผนที่ 3 บริเวณที่ผู้ต้องหาทิ้งปืนหน้าปากซอยเกิดเหตุ โดยผู้ต้องหาเอาปืนห่อถุงพลาสติกสีดำ เอาไปทิ้งบริเวณกองขยะหน้าบ้านหลังหนึ่ง

จากนั้นจุดทำแผนที่ 4 ผู้ต้องหาเดินออกมาเปลี่ยนชุด บริเวณห้องเครื่องของการไฟฟ้าริมถนน

ก่อนที่ตำรวจจะพาไปทำแผนจุดที่ 5 จุดนี้ผู้ต้องหาได้เรียกวินมอเตอร์ไซค์จากหน้าปากซอยเพื่อไปหัวลำโพง และเดินทางไปซ่อนตัวที่ซุ้มไก่ของเพื่อนชาว สสป.ลาว ที่กลางเมือง จ.อุดรธานี ก่อนถูกจับกุม

 

ทีมข่าวได้ไปพบกับนายตุ้ม คนขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง บอกว่า คืนเกิดเหตุนายปรีชา ได้เดินยืนโบกมือเรียกรถ ตนอยู่ที่วินจึงขี่รถมารับ โดยนายปรีชา บอกว่าให้ไปส่งที่หัวลำโพง และถามราคาว่าเท่าไหร่ ตนก็บอกไปว่า 300 บาท แต่พอไปถึงหัวลำโพงปิด ตนเลยพานายปรีชาไปส่งที่สถานีขนส่งหมอชิต 2

โดยวันนั้น คนก่อเหตุไม่มีท่าทีพิรุธอะไร เขานิ่งมาก แต่กำชับให้ตนรีบขี่รถไปหัวลำโพงแบบด่วนเลย เพราะมีญาติรออยู่ โดยตอนนั้นนายปรีชาถือถุงสีดำเล็กๆ มาด้วย ตอนนั้นถ้ารู้ว่าเขาก่อเหตุยิงคนได้รับบาดเจ็บ คงไม่กล้าไปส่ง เพราะตนก็กลัวเหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังตกใจที่รับคนก่อเหตุไปส่ง

ตะลึงมือปืนนักแสดง ปลอมตัวเก็บขยะรอยิงเหยื่อ ยอมนั่งรถไฟถือถุงดำสร้างตำนาน