กรณี พญ.ชนิณชิดา หรือ หมอจุ๊ก ประกาศตามหาสามีซึ่งอยู่กินด้วยกันมานานกว่า 30 ปี แล้วมีการจดทะเบียนสมรสร่วมกัน ก่อนที่เมื่อช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ฝ่ายสามีจะหายตัวไป และเจ้าตัวได้มีการแจ้งความคนหายเอาไว้ ก่อนที่จะทราบในเวลาต่อมาว่าถูกญาติพาตัวไปอยู่ด้วย แล้วมีการกีดกันไม่ให้ทั้งคู่พบเจอกัน ขณะที่ฝั่งพี่ชายสามีออกมาโต้กลับว่า ไม่ได้กีดกัน แต่เป็นเพราะน้องชายไม่อยากเจอหมอจุ๊กแล้ว ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้ว นั้น
แพทย์หญิงเปลี่ยนตัวเอง ทำพิธีแปลก หลังสามีหายตัว
วันนี้ (15 ก.พ. 2567) ทีมข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยได้เดินทางไปบ้านของหมอจุ๊ก ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวอยู่ภายในซอยเสนานิคม ย่านพหลโยธิน กรุงเทพมหานคร เป็นบ้านที่หมอจุ๊กเคยอยู่กับสามีก่อนที่จะแยกห่างกัน ทันทีที่ทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าว พบว่าเป็นบ้านรั้วสีน้ำตาล มีการปิดล็อกเอาไว้ สภาพภายในบ้านค่อนข้างทรุดโทรม ประกอบกับมีข้าวของเครื่องใช้วางทิ้งเอาไว้ภายในรั้วบ้าน ลักษณะเหมือนไม่มีคนอยู่มานาน
และทีมข่าวยังสังเกตเพิ่มเติม พบว่า ภายในบ้านมีดอกไม้เหี่ยวแห้ง กองอยู่จำนวนมากบริเวณลานใต้ต้นไม้ในบ้าน และยังพบพวงมาลัยดอกไม้อีกจำนวนหนึ่ง ถูกวางและแขวนอยู่ใต้กิ่งไม้ภายในบ้าน และยังพบพานทอง ธูปเทียน ถูกวางกระจายอยู่ภายในรั้วบ้านเช่นเดียวกัน และการสังเกตดอกไม้ที่เหี่ยวแห้ง คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงที่มีการใช้งานแล้วนำมาทิ้งเอาไว้ไม่เกิน 3 เดือน เพราะสภาพยังไม่ย่อยสลาย เพียงแค่ถูกนำมาทิ้งกองเอาไว้เท่านั้น
ด้าน นายสมรัก (นามสมมติ) เพื่อนบ้านของหมอ ในฐานะที่เคยผ่านเข้า-ออกบ้านหลังดังกล่าว เผยว่า ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งคู่อยู่อาศัยด้วยกัน ก็เห็นรักกันดี ส่วนตัวก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอุบัติเหตุทางความรักอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกทางและหายไป โดยครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงปีก่อน ตนเองเห็นหมอผู้ชาย ซึ่งขับรถสีขาวเป็นรถส่วนตัว ขับรถออกไปจากบ้านหลังดังกล่าว แล้วมีการสื่อสารทำนองว่าจะไปแล้ว ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่านับตั้งแต่ครั้งนั้นเจ้าตัวหายไปอยู่ที่ไหน เพราะไม่ทราบเบาะแสอีกเลย จนกระทั่งเป็นข่าววันนี้จึงรู้ว่าหมอฝ่ายชายหายไป แต่ในวันที่เจ้าตัวออกไปจากบ้านก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ และไม่ได้มีญาติพาออกไป เหมือนเจ้าตัวขับรถออกไปตามปกติ และหายไปไปเลย
สำหรับหมอผู้หญิง หลังจากที่หมอฝ่ายชายหายไป เจ้าตัวก็อยู่อาศัยเพียงลำพัง แต่ก็มีพวกแม่บ้าน 2 คน คอยอยู่เคียงข้าง ก่อนที่ช่วงหลังจะมีการย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งตัวก็ไม่รู้ว่าพากันย้ายไปอยู่ที่ไหน และที่สำคัญตัวของหมอผู้หญิงจากที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี สะอาดสะอ้านหรือแม้แต่ดูแลเรื่องความเรียบร้อยของตัวเองอย่างดี ช่วงหลังสังเกตเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป ดูปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเริ่มมีเครื่องรางของขลังมาแขวนอยู่ที่คอ บางครั้งสังเกตเห็นเป็นลูกประคำขนาดใหญ่ ทั้งที่ตนเองเป็นผู้ชายมีลูกประคำ ยังสู้ไม่ได้เลย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงดูเปลี่ยนไปขนาดนั้น
และนอกจากตัวของหมอผู้หญิงจะเปลี่ยนไป ตนเองยังสังเกตุเห็นความผิดปกติ โดยบ้านหลังดังกล่าวมักจะมีการเปิดให้คนนอกเข้ามาอยู่อาศัย บางครั้งเห็นเป็นพระ เห็นมีลูกศิษย์เข้ามาพักอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว และมักจะมีรถหรูรวมถึงกลุ่มลูกศิษย์ที่ผ่านเข้า-ออกบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งตนเองก็ไม่กล้าถามเพราะระยะหลังเห็นว่ามีการเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม จึงได้แต่แอบสังเกต ก็เห็นว่ามีการสั่งดอกไม้ ครั้งละหลายหมื่นบาท และเคยมีไรเดอร์ขับหลงทางมาถามบ้านเลขที่กับตนเองบ่อยครั้ง จึงทำให้ตนเองรู้ว่ามีการสั่งดอกไม้ พวงมาลัย ธูปเทียน เพื่อพากันมาประกอบพิธีบางอย่างภายในบ้านหลังดังกล่าว
ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าเป็นลัขธิหรือการบูชาเทพเทวดา หรือบูชาอะไรกันแน่ เพราะมักจะมีการประกอบพิธีกันภายใน แต่บางครั้งเป็นวันพระใหญ่ก็จะประกอบพิธีช่วงค่ำหรือกลางคืน เป็นกิจกรรมกลางแจ้ง ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่าตัวของหมอฝ่ายหญิงเปลี่ยนไปเพราะเหตุอันใด แล้วทำไมถึงมีเรื่องลัทธิหรือพิธีกรรมเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
สำหรับตัวของหมอผู้ชาย ตนเองยืนยันว่าวันที่เจ้าตัวออกไปจากบ้านหลังนี้ ทุกอย่างดูปกติและไม่ได้มีอะไรผิดพลาด หรือจะถูกอุ้มหาย หรือมีคนชักชวนออกไปอยู่ที่อื่น ซึ่งก็เห็นว่าออกไปตามปกติ แต่คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุด ตนเองบอกว่ายังไงก็เป็นหมอฝ่ายหญิง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นับตั้งแต่ที่บ้านหลังดังกล่าวมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่อยู่ ตนเองจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งอีก ก็ได้แต่แอบสังเกตมอง และทักทายกันบ้างในเวลาที่เจอหน้ากัน
ด้านางสาวฟ้า (นามสมมติ) แม่บ้านของหมอจุ๊ก เผยว่า ตนเองในฐานะแม่บ้านที่อยู่กับหมอทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่บ้าน ย่านเสนานิคม อยู่ด้วยกันมานานกว่า 10 ปี ก่อนที่เมื่อปีก่อน หมอผู้ชายหายตัวไปปริศนา หมอฝ่ายหญิงเศร้าเสียใจจึงได้มีการมาซื้อที่และย้ายมาอยู่ในพื้นที่อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม และพาตนเองกับแม่บ้านอีกคนมาอยู่ด้วยที่นี่ แล้วไม่ได้กลับไปดูแลบ้านหลังนั้นอีกจึงไม่รู้ความเคลื่อนไหว
แต่ช่วงที่ตนเองดูแลบ้านและคอยดูแลทั้งหมอฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ก็ยืนยันว่าที่ผ่านมาทั้งคู่รักกันดี ดูแลกัน ไม่มีอุบัติเหตุทางความรักใดที่จะทำให้ทั้งคู่แยกหรือหายไปจากกัน ส่วนตัวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันหนึ่งหมอฝ่ายชายหายไปได้ด้วยเหตุผลอะไร แต่วันสุดท้ายที่ตนเองเห็นหมอฝ่ายชายก็ออกไปด้วยการแต่งกายชุดทำงานตามปกติ ไม่ได้มีการขนข้าวของหรือทรัพย์สินออกไปจากบ้าน เพราะในบ้านหลังดังกล่าวก็ยังมีเสื้อผ้าของใช้ของหมอฝ่ายชายเก็บเอาไว้อยู่เหมือนเดิม แต่เพียงแค่เจ้าตัวหายไป ออกไปตอนเช้าแล้วไม่กลับมาอีก จนกระทั่งหมอฝ่ายหญิงติดต่อไม่ได้ ก็เลยร้องไห้เสียใจออกไปแจ้งความ
และการหายไปของหมอฝ่ายชาย จึงทำให้หมอจุ๊กเสียใจร้องไห้ทุกวัน และพยามตามหาสามีแต่ก็ไม่รู้จะหาด้วยวิธีใด จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่สามีหายไป ก็ได้ตัดสินใจไปยกศัลยกรรมทั้งตัว เพื่อเป็นการแก้เครียด และความกังวลใจที่สามีหายไปไหน เจ้าตัวจึงได้ไปศัลยกรรมใหม่ทั้งหมด ก่อนที่จะพาตนเองและหมาแมวออกจากบ้านหลังนั้นมาอยู่ที่ดอนตูม
สำหรับตัวของหมอจุ๊ก แม้ว่าจะมาสร้างบ้านใหม่ให้กับหมาแมวและตนเองอยู่ที่ต่างจังหวัดแล้ว เจ้าตัวก็แวะเวียนมาบ้างเดือนละ 1-2 ครั้ง เวลามาก็นอนอยู่ที่นี่ แล้วเช้าก็จะออกไปทำธุระที่อื่น หรือไปประจำโรงพยาบาลและคลินิก ซึ่งก็ไม่เห็นเจ้าตัวมากินนอนเป็นประจำ เว้นแต่จะแวะเวียนมาเท่านั้น แต่เท่าที่ตนเองสอบถามและได้พูดคุยกับทางหมอจุ๊ก เจ้าตัวอ้างว่าช่วงที่ไม่มีเวรหรือขึ้นโรงพยาบาล ก็จะไปปฎิบัติธรรมและกินนอนอยู่ที่วัด ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน เพราะเจ้าตัวไม่เคยบอกและไม่เคยพาไป แต่เห็นใช้ชีวิตอยู่กับวัดซะส่วนใหญ่
ขณะที่บ้าน ย่านเสนานิคม ซึ่งเป็นบ้านที่ตนเองเคยดูแลปัดกวาดเช็ดถู หลังจากที่ทราบว่าหมอฝ่ายชายไม่อยู่ และหมอจุ๊กก็อยู่อาศัย ตนเองจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังดังกล่าวบ้าง แต่ยอมรับว่าตกใจหลังจากที่เห็นภาพที่ทีมข่าวไปบันทึกมา โดยมีดอกไม้ ธูปเทียน คล้ายสิ่งของที่มีการบูชา หรือมีการประกอบพิธีในบ้านดังกล่าว เพราะตอนที่ตนเองอยู่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วหลังจากที่ตัวเองออกมาก็ไม่เคยกลับเข้าไป จึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามา และมีการทำพิธีอะไรบ้าง เพราะทุกอย่างมันอาจเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเองออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวแล้ว จึงไม่รู้ว่าใครเข้าไปทำอะไร
หมอหญิง ปัดคลั่งลัทธิ แจงพุ่มไม้เกลื่อนบ้านใช้ไหว้พระ
ขณะที่เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับหมอจุ๊ก เจ้าตัวเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองยังยืนยันข้อมูลและหลักฐานที่ได้มีการรวบรวมเอามาโดยเบื้องต้น ที่ทราบว่าตัวของสามีป่วยเป็นโรคทางจิต โดยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการถูกโน้มน้าวด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเกิดอุปโหลกหมู่ ทำให้สามีถูกญาติชี้นำและชักจูงออกไปจากบ้านที่เคยรักและอยู่ด้วยกัน จนถูกปิดกั้นเพื่อไม่ให้ตนเองกับสามีได้คุยกันอีก และเป็นที่มาของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ส่วนตัวจึงยืนยันว่าจากประวัติการรักษาและข้อมูลที่ทราบ สามีอยู่ในอาการป่วยและการรักษานั้นไม่เจอแพทย์ที่จะรักษาได้อย่างตรงจุด จึงทำให้อาการยังไม่หาย ส่วนในฐานะภรรยาจึงอยากจะให้ครอบครัวคืนสามีกลับมาให้ เพื่อที่จะพาไปรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและรักษาให้หายดี
ส่วนประเด็นที่พี่ชายคนโตคือ นายวิเชียร พี่ชายของสามี มีการให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ทำนองว่า สามีของตนเองไม่อยากอยู่ด้วย ไม่อยากใช้ชีวิตร่วมด้วย เป็นเพราะเหตุผลฝ่ายหญิงจุกจิก หรืออาจมีเรื่องที่มากกว่านั้น และเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า ส่วนตัวอยากจะชี้แจงว่า ไม่ได้มีเรื่องที่ใหญ่ไปกว่าสิ่งที่ครอบครัวพยายามปกปิดข้อมูล แล้วกีดกันไม่ให้ตนเองกับสามีได้เจอกัน และพยายามปลุกปั่นหรือไปสร้างเรื่อง เพื่อบอกกับหมอฝ่ายชายสามีของตนเองว่า ตนป่วยและมีอาการทางจิต มีการพยามทำร้ายร่างกายและอาจจะมีการวางยา ทั้งที่ตนเองยืนยันว่าไม่ได้ป่วย และไม่เคยคิดทำร้ายสามี เพราะอย่าลืมว่าหลังจากที่พวกเขาได้ตัวของสามีไปแล้ว ก็ได้มีการส่งตรวจทั้งหาสารในร่างกาย รวมถึงมีการตรวจร่างกายอื่น ๆ ซึ่งก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ในช่วงที่สามีตนเองกำลังป่วยภาวะ อุปโหลกหมู่ จึงทำให้ถูกชักจูงและสร้างเรื่องดังกล่าวขึ้น แล้วให้สามีของตัวเองออกไปจากบ้าน ก่อนที่จะมีการกีดกัน
กรณีเรื่องของการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง การไปปฎิบัติธรรม การถือศีล และมีการตั้งของเซ่นบูชา จนบอกว่าตนเองเป็นพวกลัทธิ นั้น ขอชี้แจงว่าส่วนตัวไม่ได้มีการนับถือลัทธิใด ๆ ซึ่งก็เป็นชาวพุทธที่นับถือพระรัตนไตร โดยวันพระหรือโอกาสสำคัญที่ตนเองสามารถแสดงความเคารพนอบน้อม หรือการบูชาพระรัตนไตรก็จะมีการประดับตกแต่งดอกไม้ บูชาลานกลางแจ้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ชาวพุทธทำ ไม่มีอะไรที่ผิดแปลกหรือจะเข้าข่ายพวกลัทธิ และที่สำคัญตนเองก็ไม่ได้มีการชักจูงใครเข้ามาภายในบ้าน แล้วมีการประกอบพิธีอย่างที่ถูกกล่าวหา
หมอจุ๊ก ยังได้มีการส่งภาพนิ่ง ซึ่งเป็นการจัดดอกไม้พานใหญ่เพื่อถวายกลางแจ้ง แด่พระรัตนไตร เพื่อยืนยันว่าไม่ได้มีการประกอบพิธีแบบลัทธิ แต่เป็นการถวายแบบทั่วไปเท่านั้น โดยการใช้สายสิญจน์ไปผูกโยง แต่ยืนยันว่าไม่มีเรื่องของของเซ่นไหว้ และสวดคาถาแปลก
แพทย์หญิง แฉคลิปเสียง ครอบครัวหมอผู้ชายกีดกัน
และภายหลังการให้สัมภาษณ์ หมอจุ๊กได้มีการส่งคลิปเสียงซึ่งมีการโทร. เข้าไปที่คอนโด เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ทราบว่านายวิเชียร พี่ชายคนโตของหมอฝ่ายชาย มีการพาตัวไปที่คอนโดดังกล่าว และกีดกันไม่ให้เจอกับภรรยา ซึ่งทางหมอฝ่ายหญิงได้มีการโทร. เข้าไปที่โทรศัพท์ภายในของห้อง เป็นเบอร์ 02 แต่ปรากฏว่าคนที่รับสายเป็นนายวิเชียร พี่ชายสามี มีการพูดคุยเจรจา ทำนองว่าอยากจะขอคุยกับสามี แต่ทางด้านของนายวิเชียรปฏิเสธ และตอบแทนหมอฝ่ายชาย อ้างว่าฝ่ายชายไม่อยากคุยด้วย ก่อนที่การสนทนาจะจบลง
พี่หมอผู้ชาย ยัน น้องไม่ป่วยจิต ถอยห่างเมียเรื่องส่วนตัว
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวได้พยามติดต่อไปหาคุณหมอฝ่ายชาย สามีของหมอจุ๊ก เบื้องต้นทีมข่าวได้มีการติดต่อไปหลายสาย แต่ทางด้านของหมอฝ่ายชายมีการตัดสาย ซึ่งไม่ได้มีการตอบหรือรับสาย ประกอบกับไม่ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกลับมา
เพิ่มเติมไปยังนายวิเชียร พี่ชายของหมอฝ่ายชาย เผยทางโทรศัพท์ ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว เพราะหลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนสภาพจิตใจของน้องชายก็เป็นปกติ และไปทำงานตามปกติเช่นกัน และยืนยันว่าตามข้อมูลที่ฝ่ายหญิงอ้างว่าน้องชายของตนป่วยอาการทางจิตนั้น ไม่เป็นความจริง เป็นลักษณะของการดิสเครดิตมากกว่า เพราะน้องชายของตนยังออกไปทำงานและปฏิบัติงานตามปกติ ไม่เคยมีประวัติการรักษาอาการป่วยทางจิตแต่อย่างใด
และหลังจากที่ฝ่ายหญิงออกมาให้ข่าวกับสังคม ตัวของน้องชายก็รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหมดแล้ว แต่เพียงแค่ไม่ออกมายุ่งและไม่อยากมาตอบ เพราะมันกำลังเข้าสู่กระบวนการ แต่เหตุผลที่พอทราบเบื้องต้นว่า ฝ่ายชายรับไม่ได้จึงถอยออกห่างจากฝ่ายหญิง เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องจุกจิกอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นอะไรที่มากกว่านั้นและเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า เพียงแค่ยังพูดไม่ได้เพราะเป็นเรื่องภายใน และตัวเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนนอก แต่คนที่รู้ดีที่สุดก็คือหมอฝ่ายหญิงและน้องชายของตนเอง ซึ่งทุกอย่างก็คงสู้ไปตามกระบวนการ เพราะถ้าหากทั้งคู่คบหากันมานานกว่า 30 ปี แล้วอยากไปต่อด้วยกันได้คงไม่ถอยห่างออกมาแบบนี้
สำหรับเรื่องของการทำพิธีกรรม หรือเกี่ยวข้องกับการไปปฎิบัติธรรมของหมอฝ่ายหญิงนั้น ตนเองไม่รู้ว่าเป็นพฤติกรรมส่วนตัว หรือความชอบส่วนตัวอะไรหรือไม่ เพราะไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับชีวิตเขา และหลังจากที่ออกมาตนเองก็ไม่เคยไปที่บ้านหลังนั้น ที่สำคัญตัวของน้องชายก็ไม่เคยกลับไปเหมือนกัน ยังไม่รู้ว่ามีการกระทำอะไรอยู่ จะทำก่อนหรือทำหลัง
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมหลังวางสาย โดยเป็นคำยืนยันจากทางพี่ชายหมอ ซึ่งระบุว่าเจ้าตัวยังคงทำงานได้ตามปกติและไม่ได้มีอาการป่วย โดยมีคลิปที่เคยลงเอาไว้ในช่วงโควิด-19 ระบาด เป็นการพูดถึงเรื่องของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง โดยได้เป็นการลงคลิปเพื่อให้ความรู้ ซึ่งก็เป็นคำยืนยันว่าตัวของหมอฝ่ายชาย ไม่ได้มีอาการป่วยอย่างที่หมอฝ่ายหญิงกล่าวหา