จากกรณีเมื่อวานนี้ (16 ก.พ. 2567) ที่ทางด้านของนายณัฐพล อายุ 31 ปี ได้เกิดพลัดตกท้ายรถกระบะของตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม หลังจากที่ตรวจปัสสาวะไม่ผ่านบริเวณด่านตรวจ ทำให้ตำรวจต้องพานั่งท้ายกระบะไปตรวจปัสสาวะที่โรงพัก แต่ก็ไม่ทันจะถึงโรงพัก นายณัฐพลก็พลัดตกลงมาจนเสียชีวิตคาที่บริเวณถนนรถไฟตะวันตก ต.นครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเหตุการณ์นี้ทางด้านครอบครัวก็ติดใจสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทางตำรวจก็ยังคงปิดปากเงียบไม่ให้ข้อมูลใด ๆ กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและสื่อมวลชน
ล่าสุดวันนี้ (17 ก.พ.67) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองนครปฐม เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว โดย พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม ก็ได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสอบปากคำ การไล่เรียงภาพจากกล้องวงจรปิดในเส้นทางที่รถกระบะ ได้ขับเคลื่อนมาจากจุดตั้งด่าน กระทั่งถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเบื้องต้นผู้กำกับเองก็ยืนยันว่าสาเหตุในการพลัดตกนั้นเป็นอุบัติเหตุ เพราะถนนบริเวณดังกล่าวค่อนข้างขรุขระ
นอกจากนี้ พ.ต.อ.ภูภณ ก็ยืนยันว่า การเชิญตัวนายณัฐพลไปตรวจปัสสาวะที่โรงพักนั้น ไม่ได้มีการใส่กุญแจมือหรือพันธนาการใด ๆ และยอมรับว่ารถกระบะที่นายณัฐพลนั่งไปนั้นเป็นรถส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง ส่วนสาเหตุที่ต้องให้นายณัฐพลนั่งบริเวณหลังรถกระบะคันนั้น เป็นเพราะรถราชการคันอื่น ๆ นั้นขนของจนเต็มแล้ว
หลังเกิดเรื่องทางผู้กำกับเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการพยายามติดต่อไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตเพื่อขอช่วยเหลือและเยียวยาในเบื้องต้น แต่ทางด้านครอบครัวผู้เสียชีวิตยังไม่มีการตอบรับในส่วนนี้ ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้ ทางด้านของท่านรองผู้การฯ ก็จะเดินทางมาที่ สภ.เมืองนครปฐม เพื่อทำการสอบปากคำตำรวจที่อยู่ในวันเกิดเหตุ พร้อมพูดคุยกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยตัวเอง เบื้องต้นในส่วนของนายตำรวจที่เป็นคนขับรถกระบะคันดังกล่าว ได้มีการเตรียมแจ้งข้อหา "ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย"
กระทั่งเวลา 16.30 น. พ.ต.อ.พงษ์สวัสดิ์ คำปาเชื้อ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม ก็ได้มาแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชน โดยเผยว่า จากกรณีที่นายณัฐพล (ผู้ตาย) ได้ถึงแก่ความตายหลังจากที่นั่งโดยสารรถกระบะไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐม โดยก่อนอื่นได้ขอแจ้งก่อนว่าการตั้งด่านตรวจในวันนั้นกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนสาเหตุที่ต้องทำการเรียกตรวจรถของนายณัฐพลนั้นเป็นเพราะนายณัฐพลมีท่าทีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องเชิญตัวไปตรวจปัสสาวะ รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า นายณัฐพลมีประวัติการรับโทษเกี่ยวกับยาเสพติด และหลังจากที่นายณัฐพลเสียชีวิต ก็ได้มีการส่งร่างไปชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลนครปฐม โดยให้มีการตรวจปัสสาวะและเลือดของผู้เสียชีวิต ยืนยันว่ามีการตรวจพบสารเสพติดบางประเภทในปัสสาวะของผู้เสียชีวิต ซึ่งก็ต้องมีการตรวจสอบขยายผลต่อไป
แต่ในส่วนของการพลัดตกนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดหรืออยากให้เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกฝ่ายก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หลังจากนี้ก็จะเร่งสอบสวนและเร่งรัดการเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามความเหมาะสม แต่สาเหตุของการร่วงตกจากรถกระบะนั้นจะเป็นการตั้งใจกระโดดหรือเป็นอุบัติเหตุพลัดตกนั้น จะต้องมีการสอบสวนและตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป
สุดท้ายทางด้าน พ.ต.อ.พงษ์สวัสดิ์ ก็ได้ยืนยันว่าจากการตรวจสอบพยานหลักฐาน เชื่อว่าความเร็วของรถกระบะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขับในวันดังกล่าวนั้น มีความเร็วอยู่ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางสาวเพชรรัตน์ อายุ 33 ปี แฟนของนายณัฐพล ผู้ตาย เผยว่า ในวันนี้ตนเดินทางมาที่ สภ.เมืองนครปฐม เพราะต้องการมาติดตามความคืบหน้า เนื่องจากหลังเกิดเรื่องตนก็ไม่ได้รับคำตอบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายณัฐพล ไม่รู้เลยว่าตำรวจในรถกระบะคันนั้นถูกสอบสวนหรือยัง ความคืบหน้าของคดีไปถึงไหนแล้ว ทุกอย่างยังเป็นคำถามที่ค้างคาใจและยังไม่ได้รับคำตอบ ประเด็กหลักที่ตนรู้สึกติดใจคือ “ผู้ตายกระโดดลงจากรถ” โดยประโยคนี้เป็นคำพูดของตำรวจที่เอ่ยออกมา เขาบอกว่าแฟนของตนกระโดดลงจากรถเอง ซึ่งตนไม่คิดว่าลักษณะและท่าทางที่เสียชีวิตนั้นไม่ใช่การกระโดด เพราะนายณัฐพลพลัดตกลงมาในลักษณะหงายหลัง ทำให้ศีรษะได้รับกระแทกจนกระโหลกแตก และทะลุจากด้านหลังจนถึงบริเวณหน้าผาก แต่สาเหตุการพลัดตกนั้นตนก็ไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะอะไร และคนที่รู้ดีที่สุดก็น่าจะต้องเป็นคนที่อยู่ในรถคันนั้น
นางสาวเพชรรัตน์ ยังบอกอีกว่า ในตอนแรกที่นายณัฐพลขึ้นท้ายรถกระบะไป เขาได้นั่งอยู่บริเวณพื้นด้านล่าง เขาไม่ได้นั่งที่ขอบกระบะ ตนจึงไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาไหนที่เขาขึ้นไปนั่งตรงจุดนั้นและทำไมต้องไปนั่งตรงนั้นด้วย ยอมรับเลยว่าตอนนี้สภาพจิตใจคนในครอบครัวแย่มาก ไม่มีใครทำใจได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ของนายณัฐพล “แม่ร้องไห้ตลอด ถึงขนาดไม่อยากกลับไปนอนที่บ้าน เพราะกลับไปก็จะเห็นข้าวของและสถานที่ที่ลูกชายตัวเองเคยอยู่เคยใช้ชีวิต มันเลยยากที่จะทำใจ” ซึ่งนายณัฐพลนั้นเป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงดูแลครอบครัว เขาต้องดูแลแม่ที่อายุเยอะ ดูแลพี่สาวที่ว่างงาน ดูแลตนที่เป็นแฟน เขาดูแลทุกคนมาอย่างดีโดยตลอด เขาไม่ใช่คนเกเรหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ตนจึงรู้สึกว่าเขาไม่ควรจะจากไปแบบนี้ นอกจากนี้ตนกับนายณัฐพลก็มีแพลนที่จะแต่งงานกันในปลายปีนี้ เราตั้งใจจะสร้างครอบครัวด้วยกันแต่ทุกอย่างก็จบลง ในวันนี้ตนจึงอยากได้รับคำตอบที่ชัดเจนและเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยืนยันว่าจะไม่เผาศพของณัฐพลจนกว่าจะได้รับความกระจ่าง
ซึ่งเบื้องต้นทางครอบครัวยังไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือการเยียวยาใด ๆ จากใครเลย ยืนยันว่าเมื่อวานนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนเดินทางไปร่วมงานศพที่จังหวัดสุพรรณบุรี จะมีก็แต่ตำรวจนายหนึ่งที่โทรศัพท์มาสอบถามว่าได้เคลื่อนศพออกไปหรือยัง เขาจะให้รถตพรวจขับนำทางไปให้ ซึ่งตนก็ได้ถามกลับไปว่า “คุณจะมานำขบวนอะไร วันทั้งวันที่เจอกันที่โรงพักคุณไม่เอ่ยปากถามอะไรสักคำ ทำไมถึงมาถามตอนที่ศพเดินทางถึงวัดแล้ว” สุดท้ายตอนนี้ตนไม่ขออะไรมาก ขอแค่ “คำตอบที่โปร่งใสและกระจ่างใส”
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ทดลองนั่งท้ายรถกระบะเพื่อทดสอบความเป็นไปได้ว่าการขับรถกระบะผ่านเส้นทางดังกล่าว ยังจะสามารถทรงตัวได้หรือไม่ โดยจุดที่ทีมข่าวเริ่มทดลองนั้น จะอยู่ก่อนถึงจุดเกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งในจุดแรกนั้นถนนค่อนข้างขรุขระ บางช่วงบางตอนก็เป็นเส้นทางโค้ง จึงมีความเสี่ยงหากจะนั่งบริเวณขอบกระบะ ในจุดนี้ทีมข่าวจึงตัดสินใจนั่งที่พื้นด้านล่างแทน ซึ่งตลอดเส้นทางที่รถกระบะขับผ่านด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. การทรงตัวบางช่วงบางตอนนั้นต้องยอมรับว่าไม่ค่อยจะดี โดยเฉพาะเส้นทางโค้งก็จะมีความลื่น ทำให้เสียการทรงตัวอยู่หลายครั้ง
โดยทีมข่าวก็ได้พยายามหาที่ยึดเกาะ คือการยื่นมือไปจับบริเวณหลังคารถ แต่ก็ไม่ได้ช่วยสักเท่าไร เพราะบริเวณหลังคาก็มีความลื่นเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ ปรากฏว่าพื้นผิวถนนนั้นค่อนข้างเรียบ ไม่มีจุดไหนที่มีลักษณะขรุขระหรือมีลูกระนาดแต่อย่างใด ส่วนตัวทีมข่าวจึงตั้งข้อสงสัย หากจะเสียหลักพลัดตกจากรถกระบะก็น่าจะพลัดตกตั้งแต่จุดที่เริ่มทำการทดลอง เพราะถนนมีความขรุขระและเส้นทางคดเคี้ยวมากกว่าในจุดที่เกิดเหตุ
แต่เพื่อสิ้นข้อสงสัย ทีมข่าวได้ตัดสินใจขึ้นไปนั่งบริเวณขอบกระบะจุดเดียวกับที่นายณัฐพลนั่ง และได้ทำการทดลองขับรถด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. ขับบนถนนช่วงจุดเกิดเหตุระยะทางประมาณ 300 เมตร และมีการใช้มือจับบริเวณหลังคาเอาไว้ โดยนักข่าวซึ่งเป็นผู้หญิงก็สามารถทรงตัวได้ในจุดนี้ จะมีแค่ช่วงออกตัวและหยุดรถเท่านั้นที่จะเสียการทรงตัวอยู่บ้าง
โดยทีมข่าวก็ได้เดินสำรวจบริเวณจุดเกิดเหตุเพิ่มเติมก็ไม่พบกับหลุมหรือลูกระนาดใด ๆ ตลอดเส้นถนนดังกล่าวก็ราบเรียบปกติ ใกล้กับจุดที่เกิดเหตุเป็นบริเวณด้านหน้ากำแพงวัด ซึ่งไม่ไกลกันก็จะมีต้นไทรขนาดไม่ใหญ่นักจำนวน 1 ต้น และบริเวณใต้ต้นไทรก็จะมีเศษซากปรักหักพัง เช่น ตุ๊กตานางรำ กุมารทอง เป็นต้น
ล่าสุดเวลา 19.20 น. ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครปฐมจำนวน 13 นาย นำโดย พ.ต.ท.เดชศักดา แต้มรุ่งเรือง รอง ผกก.ป.สภ.เมืองนครปฐม ได้เดินทางเข้ามาที่วัดเทพคีรีวงศาราม ตำบลจรเข้สามพัน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยทันทีที่มาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 13 นาย ก็ได้ตรงเข้าไปจุดธูปไหว้กราบขอขมาหน้าโลงศพของนายณัฐพล และหลังจากนั้นก็ได้เดินไปนั่งบริเวณเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ ทันทีที่ตำรวจได้นั่งเก้าอี้ ทางด้านครอบครัวของนายณัฐพล ผู้ตาย จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน ก็ได้พยายามเข้าไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
โดยทางญาติได้มีความประสงค์ที่จะพูดคุยกับนายตำรวจที่รู้และเห็นในวันเกิดเหตุ แต่ทางด้านของ พ.ต.ท.เดชศักดา ก็ได้ปฏิเสธพร้อมกับแจ้งครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า ในวันนี้ต้องการเดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจและขอขมาศพ จึงยังไม่ขอพูดถึงประเด็นอื่นและอยากให้เก็บประเด็นอื่น ๆ ไปพูดคุยกับที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ จึงจะเหมาะสมกว่า