18 ก.พ. 67 ได้มีหญิงสาวรายหนึ่งเข้ามาร้องเรียนที่ เพจสายไหมต้องรอด โดยได้เข้ามาร้องเรียนในเรื่องที่ว่า หญิงสาวรายนี้ได้ถูกชายคนหนึ่ง โดยแอบอ้างว่าเป็นทหารยศพลโท หลอกเงินไปกว่าสามล้านบาท และยังมีการข่มขู่ทำร้ายร่างกายและแอบอ้างเบื้องสูง โดยในวันนี้นาย เอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด จึงได้ออกมารับเรื่องกับ น.ส.อาภาพร อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหาย
ทางด้าน น.ส.อาภาพร อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหาย มี่อ้างว่า นายนคร วิ อายุ 48 ปี ที่ได้กล่าวอ้างว่ารับราชการทหาร โดยมียศ พลโท มาหลอกเงินไปกว่า 3ล้านบาท ได้เปิดเผย กับทีมข่าวว่า
“ตนกับนายนครเริ่มคบหากันเมื่อปี 2562 ซึ่งตนและนายนครพบกันครั้งแรกที่ร้านอาหาร โดยหลังจากนั้นจึงได้สานสัมพันธ์กัน ซึ่งตนเองนั้นก็ยอมรับว่าได้ตกหลุมรักนายนคร จนกระทั่งคบกันได้ประมาณสามเดือน นายนครได้มาปรับทุกข์ให้ฟังว่าไม่มีความสุขกับอาชีพทหารที่ทำอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้บอกว่าเขามีอาชีพทหารซึ่งเป็นหน่วยองครักษ์ และทำงานใกล้ชิดกับเบื้องสูง โดยนายนครอ้างอ้างว่าเขาเป็นคนที่มีไอคิวสูง จึงได้ยศพลโทซึ่งเป็นยศที่สูงมาก
โดยในตอนนั้นได้มาปรับทุกข์กับตนว่าอยากจะออกจากราชการ แต่ยังไม่สามารถออกได้ และต้องทำงานแบบไม่รับเงินเดือน เป็นเวลาสามปี จึงจะออกจากราชการได้ โดยอ้างว่า เบื้องสูงไม่อนุญาตให้ออกจากราชการ และจะขอยืมเงินจากตนใช้วันละ 1000 บาท เป็นเวลาสามปี ซึ่งรวมเป็นเงินแล้วประมาณ 1,080,000 บาท โดยในตอนนั้นตนก็หลงเชื่อและให้ยืมเงินจำนวนวันละ 1000 บาท เรื่อยมา โดยไม่มีการทำสัญญา แต่อย่างใดเนื่องจากเพราะความไว้ใจและความรัก
โดยหลังจากนั้นก็จะมีการเข้ามาขอยืมเพื่อไปลงทุนเล่นบิทคอยน์ จำนวน 300,000 บาท ซื้อนาฬิกา 50,000 บาท ขอยืมเงินเพื่อไปรับรองแขกของเบื้องสูง 200,000 บาท และขอไปลงทุนทำร้านสปาอีก 250,000 บาท และอื่นๆอีกรวมทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านบาท โดยการขอยืมเงินทั้งหมดนี้เป็นการทยอยขอยืมเป็นเวลากว่าสามปี ซึ่งหลังจากนั้นตนก็เริ่มที่จะทวงคืน แต่นายนครกลับใช้คำพูดที่รุนแรงก่อนที่ตนจะตัดสินใจเลิกรา นายนครได้ทำร้ายร่างกายตนถึงสองครั้งโดยการบีบคอ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจเลิก กับนายนคร
ซึ่งในช่วงที่เลิกกันนั้นตนและนายนครคบกันได้ประมาณ 3 ปีกับ 2 เดือน และในช่วงนั้นเขาได้อ้างว่าตัวเขานั้นออกจากราชราชการแล้ว โดยในระหว่างที่ตนและนายนครคบหากันนั้น ในนครได้มีการแอบอ้างเบื้องสูง อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเรื่องการยืมเงิน ไม่ว่าจะเรื่องเวลาออกไปทำงาน และเรื่องอื่นมากมาย จึงทำให้ตนรู้สึกกลัวและคิดว่าคนปกติทั่วไปไม่น่าจะนำเรื่องดังกล่าวมาแอบอ้างได้ และเรื่องดังกล่าวก็ทำให้ตนเชื่อในเรื่องของการเป็นทหารยศพลโท
อีกทั้งก่อนหน้านี้ในช่วงคบกันแรกแรกนายนครเคยใส่ชุดข้าราชการสีขาวติดยศ เข้ามาที่คอนโดของตนเนื่องจากได้ลืมของไว้ และโปรไฟล์ของ LINE นั้น ก็ยังเคยนำรูปที่ตัวเค้าใส่ชุดสีขาวข้าราชการถ่ายรูปกับข้าราชการทหารซึ่งเพื่อนของเขาอีกสามคน จึงเป็นเหตุที่ทำให้ตนเชื่อว่าเขาเป็นทหารยศพลโทจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็เคยเกิดความสงสัยว่าทำไมไม่แต่งตัวตั้งแต่คอนโดออกไปทำงานจึงได้ถามนายนครไปว่าเค้าไปแต่งตัวที่ไหนในการไปทำงาน ซึ่งเขาก็ตอบมาว่าไปแต่งตัวที่สำนักงาน และเมื่อถามเขาว่าเค้าสังกัดที่ใดเขาก็ตอบกลับมาว่าเป็นหน่วยองครักษ์ และทำงานใกล้ชิดกับเบื้องสูง ก็ทำให้ตนยิ่งเชื่อและมั่นใจยิ่งขึ้น
แต่หลังจากหลังจากที่เลิกกันไปนายนครกลับไม่รับผิดชอบกับเงินที่ได้ขอยืมตนไปกว่าสาม 3 ล้านบาท อีกทั้งยังมีพฤติกรรมเมินเฉย โดยในช่วงแรกก็ยังติดต่อได้อยู่แต่ช่วงหลังมานี้ ก็ไม่ค่อยจะตอบแชต และยังมีการข่มขู่ในเรื่องต่างๆนาๆ และนำเบื้องสูงมาแอบอ้าง จนทำให้ตนเป็นกังวลและกลัว โดยสาเหตุที่ตนตัดสินใจมาร้องเพลงสายไหมต้องรอดนี้ ก็เพราะว่าตนต้องการที่จะเรียกร้องเงินที่นายนครเอาไปคืน อีกทั้งอยากให้นายนครสำนึกว่าในช่วงที่เขามาขอความช่วยเหลือจากตน ซึ่งตนก็ยินดีช่วยเหลือทั้งที่ในช่วงนั้นเป็นช่วงสถานการณ์โควิด ทุกคนก็เดือดร้อนกันหมด แต่ตนยังช่วยเหลือนายนคร แต่สุดท้ายนายนครกลับทำกับตนแบบนี้ จึงเป็นเหตุที่ตนมาเรียกร้องสายไหมต้องรอดในครั้งนี้”
จากนั้นทีมข่าวจึงได้เดินทางไปบ้านของนายนคร โดยเมื่อทีมข่าวเดินทางไปถึง ก็พบว่าบ้านของนายนครอยู่ใกล้เคียงกับวัดหัวลำโพง ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินเข้าไปถาม บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่หลังกำแพงศาลเจ้าจีน ตามที่ได้รับข้อมูลมาว่าเป็นบ้านของนายนคร โดยจากการสอบถามทีมข่าวได้พบกับ นางหมวย (นามสมมติ) อายุ 78 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนายนคร ได้เปิดเผยกับทีมข่าวว่า
“ตนยอมรับว่าตนเป็นแม่ของนายนคร แต่จากกรณีดังกล่าวนั้นในเรื่องที่ว่านายนคร ไปนำเงินของผู้หญิงคนหนึ่งมาจำนวน 3 ล้านบาท นั้นอันนี้ตนไม่ทราบเรื่องราวดังกล่าว และในส่วนที่ว่านายนครเคยเป็นทหารหรือไม่นั้น ตนทราบเพียงแต่ว่านายนครเคยเป็นทหารเกณฑ์เมื่อตอนอายุ 20 กว่าๆ และหลังจากนั้นตนก็ไม่ทราบเรื่องของนายนครอีกเลยทราบเพียงว่าไปทำงานอยู่ภายในกรมทหาร ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าหน่วยใดสังกัดใด
และในช่วงเมื่อสามปีที่แล้วก็เคยมีลักษณะเหมือนทหารหนุ่มสามคนแต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ มาตามนายนครที่บ้าน โดยอ้างว่านายให้มาตามกลับไปทำงาน ในเรื่องนี้ตนทราบเพียงเท่านี้ โดยนายนครนั้นไม่ค่อยได้กลับบ้าน โดยจะกลับบ้านสองถึงสามปีครั้ง ครั้งล่าสุดก็กลับมาเมื่อปีที่แล้ว โดยเขามีอาการป่วย น่าจะเกี่ยวกับโรคปอด และหลังจากนั้นตนก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลยเพราะนายนครไม่ได้เคยทิ้งเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลติดต่อไว้ให้กับตน
แต่ในเรื่องมีผู้หญิงเข้ามาร้องเรียนว่านายนครเอาเงินของเขาไป 3 ล้านบาทนั้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเคยมีผู้หญิงเข้ามาโวยวายที่บริเวณหน้าบ้าน ว่านายนครได้นำเงินของเขาไป แต่ในเรื่องนี้ตนก็ไม่ได้รู้เห็นด้วย โดยจุดประสงค์ที่เขาเข้ามาจะให้ตนชดใช้เงินหรืออย่างไร ตนก็ไม่ทราบ แต่ในนครไม่เคยมาพูดเรื่องนี้ให้กับตนฟัง อีกทั้งตนก็ไม่ทราบว่านายนครไปอยู่กับผู้หญิงคนนี้จริงหรือไม่ และเขามาแอบอ้างหรือไม่นั้นตนก็ไม่ทราบ ตนจึงให้ข้อมูลอะไรไม่ได้”