จากกรณีเมื่อวันที่ 16 กุมพาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ19.10 น. ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในซอย ราชวิถี 30 พื้นที่ สน.ดุสิต ได้มีเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีดจนได้รับบาดเจ็บ และในวันนี้ (18 ก.พ. 67) ทางเพจสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ได้มีการโพสต์ว่าสามารจับคนร้ายที่ก่อเหตุได้ภายในวันเดียว
ในวันนี้ทีมข่าวจึงได้เดินทางไปจุดเกิดเหตุ ภายในซอย ราชวิถี 30 จากการลงพื้นที่จึงได้พบกับ น.ส.จันทร์เจ้า อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่ก่อเหตุอาวุธมีดแทง น.ส.เอ อายุ 38 ปี จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงได้สอบถามกับ น.ส.จันทร์เจ้า โดยได้เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า
“ในช่วงก่อนหน้านี้ตนกับผู้บาดเจ็บก็มีปากเสียงกันอยู่เป็นประจำ ซึ่งลูกของผู้บาดเจ็บมักจะเดินเสียงดังซึ่งบ้านเช่าจะเป็นบ้านไม้ จึงทำให้เกิดเสียงดังเข้าไปภายในห้องของตน และในช่วงเมื่อวานนี้ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ ลูกของ ผู้บาดเจ็บได้เดินเสียงดังเช่นเคย ซึ่งตนก็ได้ต่อว่าไป แต่หลังจากหลังจากนั้นลูกของผู้บาดเจ็บก็กลับพูดกับตนด้วยหยาบคาย จนทำให้ตนเริ่มโมโหและทนไม่ไหว โดยหลังจากนั้นตัวผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นแม่ของเด็กก็ได้เดินเข้ามาพูดกับตนในลักษณะที่ว่าทำไมต้องต่อว่าลูกของเขาด้วยหยาบคาย
ซึ่งตนก็ได้บอกไปว่าหัดสั่งสอนลูกของตัวเองบ้าง พอลูกของตัวเองมาด่ากลับด้วยหยาบคายเช่นกัน และหลังจากนั้น ตนจึงเกิดความโมโหจึงใช้แก้ว ปาเข้าไปบริเวณบริเวณหน้าประตูห้องของผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยหลังจากนั้นผู้ได้รับบาดเจ็บก็ได้มาบอกกับตนให้มาเก็บเศษแก้วที่อยู่บริเวณหน้าห้องเนื่องจากกลัวว่าจะบาดเท้าเด็ก ซึ่งตนก็ไม่ยอมไปเก็บ จนกระทั่งผู้บาดเจ็บกวาดเศษแก้วมาถึงบริเวณหน้าห้องของตนซึ่งในจังหวะนั้นตนเกิดโมโหและบันดาลโทสะ จึงได้ไปหยิบมีดมาขู่ แต่ผู้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ยอมหยุดกวาดจึงได้ใช้มีดกระแทกเข้าไปบริเวณสีข้างด้านขวาขวา ซึ่งตนก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นว่ามีดได้แทงเข้าไปบริเวณสีข้างก็เกิดความตกใจ และทำอะไรไม่ถูกจึงได้หนีไปอยู่บ้านเพื่อนและหลังจากนั้นจึงได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนยืนยันว่าตนไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บถึงขนาดดังกล่าว แต่เป็นเพราะความโมโหและบันดาลโทสะ จึงได้ก่อเหตุขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ก็ยินดีรับโทษตามกฎหมาย และขอโทษกับผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวที่เกิดเหตุดังกล่าว โดยหลังจากนี้ก็ยังต้องอยู่ร่วมกัน ก็คงจะต้องคุยกันอีกครั้ง”
จากนั้นทีมข่าวจึงได้ดูวงจรปิดที่อยู่บริเวณทางเดินเข้าห้องพักดังกล่าว โดยภาพวงจรปิดจะเป็นช่วงเวลาประมาณ 19.10 น. ของวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 โดยช่วงแรกของวงวงจรปิดสามารถบันทึกเสียง ของ น.ส.จันทร์เจ้า และ น.ส.เอ (นามสมมุติ) ทะเลาะกัน ภายในห้องเช่า โดยหลังจากนั้นจึงมีเสียงกรีดร้องเนื่องจาก น.ส.เอ ถูก น.ส.จันทร์เจ้า ใช้อาวุธมีดแทง หลังจากที่มีปากเสียงมันอยู่พักหนึ่ง
โดยหลังจากนั้นกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพ สามีและญาติของ น.ส.เอ ช่วยกันพยุง น.ส.เอ เดินผ่านภายในซอยทางเข้าห้องเช่าเพื่อออกมาขอความช่วยเหลือ บริเวณด้านหน้าปากซอย โดยหลังจากนั้นเพียงไม่นาน น.ส.จันทร์เจ้า ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุก็เดินตามหลังมา ซึ่งมีท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากนั้นทางฝ่ายสามีของผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งยืนฟังการสัมภาษณ์อยู่จึงได้พูดขึ้นมาว่า “มันก็ไม่น่าทำกันถึงขนาดนี้เพราะเราต้องอยู่ร่วมกันอีกนาน” ทางฝ่าย น.ส.จันทร์เจ้า ก็ได้พยายามอธิบายและขอโทษกับสามีของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งก็มีการพูดคุยกันอยู่สักระยะหนึ่งผู้สื่อข่าวจึงได้มีการแยกย้ายทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่ให้เกิดมีปากเสียงกัน
นอกจากนี้ในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมา เพื่อนบ้านที่อยู่ภายในซอยดังกล่าวยังได้พบหลักฐานสำคัญที่ น.ส.จันทร์เจ้า ใช้ก่อเหตุคืออาวุธมีด ตกอยู่ภายในท่อบริเวณทางเดินเข้าห้องเช่าที่เกิดเหตุ ทั้งนี้จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสน. ดุสิต มาเก็บไปเพื่อเป็นหลักฐานหลักฐานประกอบทางคดีเป็นที่เรียบร้อย
โดยหลังจากนั้นทีมข่าวจึงได้พบกับสามีของผู้ได้รับบาดเจ็บคือนายมะรูดี ตาเละ อายุ 43 ปี โดยได้เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า
“ในช่วงวันที่เกิดเหตุนั้นตนเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน โดยในวันนั้นตนได้ทำงานควงกะ 24 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อกลับมาถึงห้องเช่า ได้พบว่า น.ส.เอ ภรรยาของตนทะเลาะกับ น.ส.จันทร์เจ้า ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านข้างห้อง ในเรื่องที่ว่าลูกของตนนั้นเสียงดัง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีการว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้งแล้ว แต่ลูกของตนก็ยังเสียงดังอยู่ หลังจากนั้น น.ส.จันทร์เจ้า จึงได้มีการปาแก้วมาบริเวณบริเวณหน้าห้องของตน ซึ่งภรรยาของตนก็ได้บอกให้มาเก็บเศษแก้วที่อยู่บริเวณหน้าห้องแต่ น.ส.จันทร์เจ้า ไม่ยอมมาเก็บ ภรรยาของตนจึงได้กวาดเศษแก้วไปยังบริเวณหน้าห้องของ น.ส.จันทร์เจ้า ซึ่งในขณะนั้น น.ส.จันทร์เจ้า ก็เดินเข้าไปหยิบมีดในห้องของเขาออกมา แต่ภรรยาของตนไม่ได้สนใจกวาดเศษแก้วไปยังหน้าห้องของ น.ส.จันทร์เจ้า ต่อ จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าห้องของ น.ส.จันทร์เจ้า เขาจึงได้ลงมือใช้มีด แทงเข้ามาบริเวณสีข้างของภรรยาของตน ซึ่งในตอนนั้นตนก็ตกใจมากจึงได้พยุงตัวของภรรยาของตนวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือบริเวณด้านนอก
โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นตนก็ยอมรับว่าลูกของตนก็มีส่วนผิด ที่เสียงดังในห้องเช่า แต่ก็ต้องเข้าใจในความเด็ก เพราะมันเป็นเรื่องปกติ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภรรยาของตนถูกแทงนั้นตนบอกว่ามันเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป โดยในขณะนี้ภรรยาของตนยังต้องรักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระซึ่งแผลที่ถูกแทงนั้นอยู่บริเวณสีข้างด้านขวาและทะลุเข้าถึงปอด 3 เซนติเมตร
โดยในวันแรกหมอต้องดึงเลือดออกจากปอดเป็นจำนวนมาก และในตอนนี้ยังต้องใส่สายระบายเลือดออกจากปอดอยู่ แต่อาการก็ปลอดภัยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ตนก็ยอมรับคำขอโทษของ น.ส.จันทร์เจ้า แต่ในเรื่องของคดีความนั้นตนก็จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และปล่อยเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย”