จากกรณีที่มีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากโดนพี่สาวไล่ออกจากบ้านที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง ต้องไปอาศัยอยู่ที่อาคารศูนย์มาลาเรียหลังเก่า ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ยังไม่รู้ว่าทางชุมชนจะให้ย้ายออกวันไหน อาศัยรายได้จากเบี้ยคนพิการเลี้ยงชีพ เพราะถูกรถชนจนต้องตัดขาขวา ถ้าเป็นช่วงเก็บลำไยก็มีคนมาจ้างเก็บวันละ 200 บาท แต่ก็ไม่ได้มีทุกวัน พอจะมีรายได้ประทังชีวิตไปวันๆ อยากได้ที่อยู่อาศัยที่มั่นคงในบั้นปลายของชีวิต
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมายังอาคารศูนย์มาลาเรียหลังเก่า ตั้งอยู่กลางหมู่บ้านสันจำปา ม.3 ต.แม่พริก อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ซึ่งอาคารศูนย์มาลาเรียแห่งนี้ ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ้านพักอาศัย ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ที่คือนางอำภา อายุ 47 ปี โดยนางอำภา ได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนนั้นมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน โดยตนเป็นคนสุดท้อง
และเมื่อปี 2535 ในขณะที่ตนอายุ 32 ปี ตนเกิดอุบัติเหตุรถชนจนกระดูกขาข้างขวาแตกละเอียด ทำให้ต้องถูกตัดขาข้างนั้นและกลายเป็นคนพิการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พี่สาวคนที่ 2 ของตนก็ได้ไปขายนาของตัวเอง แล้วมาซื้อที่ดินผืนหนึ่งในหมู่บ้าน แต่ซื้อทิ้งไว้เฉยๆไม่ได้มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ จนกระทั่งตนไปถามพี่สาวคนที่ 2 ว่าถ้าจะขอสร้างบ้านในที่ดินของพี่สาวได้ไหม พี่สาวคนที่ 2 ก็ตอบกลับมาว่าสร้างได้ เพราะตนจะย้ายไปทำมาหากินที่ จ.ระยองแล้ว คงไม่ได้กลับมาที่นี่แล้ว
จึงทำให้ตนและสามีคนเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว ตัดสินใจนำเงินเก็บที่มีทั้งหมดประมาณ 3 แสนบาท มาสร้างบ้านในที่ดินของพี่สาวคนที่ 2 และก็อยู่บ้านหลังนี้ที่ตนสร้างเรื่อยมา จนต่อมาสามีคนแรกของตนเสียชีวิต ในปี 2559 ตนก็ไปมีสามีใหม่ และยังคงอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป
และเมื่อช่วงปี 2563 ช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนัก พี่สาวคนที่ 2 ก็ต้องจำใจต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน จ.เชียงราย เพราะทำงานที่ จ.ระยอง ไม่ได้ โดยมาอยู่ที่บ้านของตน ที่เป็นที่ดินของพี่สาวคนที่ 2
จนในที่สุดเมื่อปี 2565 ตนได้เกิดทะเลาะและผิดใจกับพี่สาวคนที่ 2 ในเรื่องที่ช่วงนั้นตนทะเลาะกับสามีคนใหม่ทะเลาะมีปากเสียงบ่อย และสามีตนเองก็มักจะมาปรับทุกข์กับพี่สาวคนที่ 2 จนชาวบ้านละแวกนั้น เริ่มพูดกันไปปากต่อปากว่าพี่สาวคนที่ 2 ของตนนั้น น่าจะเป็นชู้กับสามีใหม่ของตน เพราะเห็นว่าช่วงนั้นดูสนิทกันเป็นพิเศษ
ซึ่งเมื่อเรื่องดังกล่าวที่ชาวบ้านลือๆกันอยู่ ลอยมาถึงหูพี่สาวคนที่ 2 ก็ทำให้พี่สาวคนที่ 2 เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ และกล่าวหาว่าตนนั้นไปพูดให้ชาวบ้านเข้าใจ ซึ่งตนก็พยายามจะอธิบายให้กับพี่สาวคนที่ 2 ได้ฟังและเข้าใจตรงกันว่าเรื่องทั้งหมด ตนนั้นไม่รู้เรื่อง แต่พี่สาวก็ไม่สนใจและประกาศตัดขาดความเป็นพี่น้องกับตน พร้อมกับไล่ตนและสามีคนใหม่ออกจากบ้าน
โดยได้ทำการจ้างทนาย และฟ้องตนเอง โดยบอกว่าที่ดินพื้นดังกล่าวเป็นของตัวเอง แต่น้องสาวคนสุดท้อง มาสร้างบ้านอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งพอเรื่องถึงศาลแล้ว ศาลก็ตัดสินให้พี่สาวคนที่ 2 ชนะคดี และตนนั้นก็ต้องถูกออกจากบ้านที่ตนนั้นใช้น้ำพักน้ำแรงสร้างกันมากับสามีคนเก่า และให้เงินค่าสิ่งปลูกสร้างในที่ดินของตัวเองเพียง 3 หมื่นบาท ซึ่งเป็นจำนวนน้อย หากเทียบกับราคาที่ดินและค่าก่อสร้างในปัจจุบัน
และหลังจากที่ถูกไล่ออกจากบ้าน จนจึงมาขออาศัยอยู่ในอาคารศูนย์มาลาเรียหลังเก่า ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านหลังเก่าของตนนั้นเอง โดยทางกำนันคนเก่าก็อนุญาตให้อยู่ไปก่อน แต่ตอนนี้กำนันคนเก่าได้หมดวาระไปแล้ว ส่วนกำนันคนใหม่เขาก็ให้อยู่ไปก่อนเช่นกัน แต่หากอนาคตมีโครงการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ก็ต้องย้าย ส่วนบ้านหลังดังกล่าวที่อดีตตนเคยอยู่อาศัย พี่ชายคนที่ 3 มาซื้อต่อจากพี่สาวคนที่ 2 และโอนมรดกไปให้ลูกชายอีกที ซึ่งลูกชายของพี่คนที่ 3 ก็บอกว่าถ้าอยากได้บ้านหลังนี้หรืออยากมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ก็ให้มาซื้อต่อเองในราคา 3 แสนบาท ซึ่งตนก็ไม่มีให้ ก็ต้องจำใจอาศัยอาคารศูนย์มาลาเรียหลังเก่า กว่า 2 ปีแล้ว โดยจะอยู่กับแม่ หลานชาย ลูกสาวและลูกของลูกสาว รวมกันทั้งหมด 5 คน แต่แม่ของตนเองตอนนี้ไปอยู่กับพี่สาวคนต่ออีกหมู่บ้าน 1 แล้ว เนื่องจากแม่ป่วยออดๆแอดๆ ถ้าอยู่ที่คับแคบจะไม่สะดวก
ส่วนตอนนี้อยากได้ที่อาศัยที่มั่นคงในบั้นปลาย เพราะตนไม่มีรายได้อะไร อาศัยเพียงเบี้ยเลี้ยงคนพิการ เดือนละ 800 บาท จะมีรายได้เพิ่มเติมก็เพียงช่วงเก็บลำไย ก็จะมีชาวบ้านมาว่าจ้างไปช่วยเก็บลำไยบ้าง วันละ 200 บาท จึงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือตนเองด้วย
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมาที่บ้านปางกลาง หมู่ 4 ตำบลเเม่พริก อำเภอเเม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นบ้านของลูกสาวของนางเสาวลักษณ์ กำยาน อายุ 66 ปี พี่สาวคนโตของครอบครัว
โดยที่นี่มีนางคำมา เเดงเขียว อายุ 85 ปี เเม่ของผู้ร้องเรียน / นางเสาวลักษณ์ พี่สาวคนโตเเละ นางสาวฟองจันทร์ พี่สาวคนที่ 4 พักอาศัยอยู่ด้วยกัน
นางสาวฟองจันทร์ เปิดใจกับทีมข่าวว่า พวกตนมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน
1.พี่สาวคนโต นางเสาวลักษณ์
2.นางสาวบานเย็น (คู่กรณี)
3.นาย บุญเมฆ
4.นางสาวฟองจันทร์
5.นางสาวจิราพร
6.นางสาวอำภา (ผู้ร้องเรียน)
ที่ผ่านมา พวกตนไม่ค่อยสนิทกับนางสาวบานเย็น พี่สาวคนรองมากนัก เพราะเขาออกจากบ้านไปตั้งเเต่อายุ 14 ปี จนกระทั่งโต พี่สาวก็กลับมาซื้อที่ดินตรงฝั่งตรงข้ามอนามัยร้าง ก่อนจะย้ายไปทำงานอยู่ที่ จ.ระยอง ต่อมาน้องสาวของตนก็หาที่ดินปลูกบ้าน เพราะต้องดูเเลพ่อกับเเม่ ทางด้านพี่สาวก็บอกกับน้องว่าให้ไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินตรงนั้นได้เลยเพราะว่าตัวเองจะไม่กลับมาเหยียบที่จังหวัดเชียงรายอีกแล้ว
แต่พอเจอช่วงวิกฤตโควิด พี่สาวป่วย น้องสาวคนสุดท้องก็เหมารถไปรับพี่สาวจากจังหวัดระยองกลับมาอยู่ด้วยกันที่จ.เชียงราย เเต่พี่สาวไม่อยากอยู่ด้วย เเละไปปลูกบ้านอยู่กับคนสนิทคนอื่นเเทน
หลังจากนั้นชาวบ้านก็มีเรื่องซุบซิบนินทาว่า พี่สาวจะเเอบมีความสัมพันธ์กับน้องเขย ซึ่งก็คือสามีของน้องสาวคนสุดท้อง ซึ่งพี่สาวเข้าใจผิด คิดว่าน้องสาวเป็นคนไปพูดให้ชาวบ้านฟัง และโกรธน้องสาว ขนาดพี่น้องทุกคนไปช่วยกันคุยก็ยังไม่ยอมฟังอะไรเลย จนสุดท้ายมีการตั้งทนายและไล่น้องสาวให้ออกจากบ้านเนื่องจากที่ดินตรงนั้นยังเป็นชื่อของพี่สาวอยู่
ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวของแม่คำมา แม่ของพวกตนก็อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวด้วย ก็ถูกพี่สาวของตนไล่ออกมาเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่าแม่ไม่ได้เลี้ยงเขามา ไม่มีบุญคุณอะไรต่อกัน ทำให้แม่ต้องระเห็จมาอยู่ที่บ้านของพี่สาวคนโต ส่วนนางสาวอำภา น้องสาว และลูกชายของตนก็ต้องย้ายของออกจากบ้านไปอยู่อนามัยร้าง
ส่วนบ้านที่น้องสาวเป็นคนสร้าง พี่สาวก็ให้เงินมาเเค่ 30,000 บาทเท่านั้น ก่อนจะขายบ้านและที่ดินให้กับนายบุญเมฆ พี่ชายคนที่ 3 ซึ่งก็ไม่ค่อยชอบน้องสาวคนสุดท้องอยู่แล้ว
พวกตนก็รู้สึกสงสารน้องสาวมาก แต่ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย เพราะพวกตนเองก็ไม่มีบ้าน ลำบากเหมือนกัน ตอนนี้ก็ต้องมาอาศัยบ้านลูกหลานอยู่ และจะรับมาอยู่ด้วยกันก็ลำบากไม่มีที่นอนแล้ว อีกทั้งบ้านตรงนี้ก็อยู่บนเขา เดินทางลำบาก เขาเองก็พิการทำให้เดินทางไม่สะดวก ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ถูกหวย จะได้มีเงินมาซื้อที่ปลูกบ้านอยู่กับเขาบ้าง