ล่าสุดวันนี้ ทีมข่าวได้มีโอกาสได้ไปเจอกับนายธนกฤต (นามสมมติ) ซึ่งเป็นพ่อของทอย เปิดใจกับทีมข่าวว่า หลังจากลูกชายไปคบหากับนุ่น ลูกชายมีการไปขอกับแม่นุ่นว่าจะแต่งงาน ซึ่งพอลูกชายจัดการคุยกับทางฝ่ายหญิงเรียบร้อย ทางพ่อกับแม่ก็เดินทางไปสู่ขอและแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งในช่วงที่ลูกชายไปอยู่เป็นครอบครัวกับลูกสะใภ้ ยืนยันว่าลูกชาย ไม่เคยโทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องที่เขาทะเลาะกัน และทุกครั้งที่ลูกชายพาลูกสะใภ้กลับมาที่บ้าน ทุกคนในครอบครัวก็เห็นว่าเขาทั้งสองรักกันดี โดยไม่เคยทะเลาะกันให้ทางครอบครัวฝั่งพ่อเห็นแม้แต่ครั้งเดียว
ส่วนวันที่ลูกชายโกหกว่าลูกสะใภ้หายไป ยอมรับว่าลูกชายโทรศัพท์มาหา แต่ตนเองไม่ได้รับสาย เนื่องจากตอนนั้นเข้านอนแล้ว ซึ่งพอตอนเช้าอีกวันถึงมารู้จากทางญาติว่า ลูกชายโทรศัพท์ไปบอกเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อตนเองรับรู้ จึงได้มีการโทรศัพท์ไปคุยกับลูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ปรากฏว่าลูกชายก็บอกว่าไม่มีอะไร เดี๋ยวจะตามหาภรรยาของเขากลับมาเอง กระทั่งเมื่อวานนี้ตัวพ่อเองก็เพิ่งจะมาเห็นภาพวงจรปิดจากในข่าว ยอมรับตกใจมาก ไม่คิดว่าลูกจะเป็นคนแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาในสายตาพ่อแม่ ลูกไม่ได้มีท่าทีที่จะทำร้ายลูกสะใภ้ และเหตุการณ์ที่ข่าวแฉกันว่า ลูกชายเคยทำร้ายลูกสะใภ้มานายแล้ว พ่อแม่ก็เพิ่งจะมารับรู้จากข่าวการดูข่าวเช่นเดียวกัน
ส่วนประเด็นที่มีเฟซบุ๊กของเพื่อนลูก ที่มีการบอกว่าลูกเป็นคนหัวรุนแรงและเคยกรีดหน้าตัวเองสมัยเรียน ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวพ่อ ไม่เคยรู้เรื่อง เพราะสมัยที่ลูกเรียนประถม สื่อออนไลน์ยังไม่มี ซึ่งพอลูกกับมาจากโรงเรียนและมีบาดแผลกลับมา คนในครอบครัวก็เข้าใจว่าเขามีเรื่องกับเพื่อนตามภาษาเด็กเท่านั้น
ยอมรับ พ่อแม่เองปล่อยให้ลูกใช้ชีวิตคนเดียวตั้งแต่เรียนจบมัธยม เพราะตอนที่เขาเรียนจบมัธยม ลูกชายอยากไปเรียนอาชีวะต่อในตัวเมืองอุบลราชธานี ซึ่งพ่อแม่มีกิจการที่อำเภอพิบูลมังสาหาร ก็เลยให้ลูกไปเช่าหอพักอยู่ตามลำพัง และพอเข้าเรียนจบ ปวช. เขาก็ขอเข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จากนั้นเขาก็หางานทำ กระทั่งไปมีแฟนมีลูก และจะกลับมาที่บ้านเกิดแค่ช่วงเทศกาลเท่านั้น
ส่วนพฤติกรรมของลูก ยอมรับลูกเป็นคนใจร้อน และที่ผ่านมา พ่อยืนยันว่าเคยเตือนลูกมาตลอดให้ใจเย็น ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น ถามว่าพ่อแม่เครียดหรือไม่ ก็ขอตอบตรงๆ ว่า หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็ต้องเครียดอยู่แล้ว
หลังเกิดเหตุ ยอมรับว่าเป็นห่วงหลานมาก เมื่อคืนนี้ทางญาติจึงขับรถพาแม่ของทอย ไปที่บ้านของแม่นุ่น เพื่อเดินทางไปรับหลานกลับมาที่จังหวัดอุบลราชธานีก่อน โดยส่วนตัวได้คุยกับแม่ของนุ่นบ้างแล้ว ซึ่งหลังจากเสร็จงานศพและเรื่องคดีของทอย ก็ต้องมาคุยกันว่าใครจะเป็นคนดูแลหลานต่อไป ซึ่งถ้าหากทางฝั่งแม่ของนุ่น ต้องการที่จะยกหลานให้ฝั่งของพ่อดูแล พ่อก็จะรับหลานมาเลี้ยงที่จังหวัดอุบลราชธานี แต่ถ้าแม่ของนุ่น มีความประสงค์ที่จะเลี้ยงหลานเอง ในฐานะที่เป็นปู่ของหลาน ก็จะช่วยส่งเสียหลานตามกำลังเงินที่จะให้ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นที่สังคมประณามว่าลูกชายเป็นคนที่โหดร้าย ในส่วนตัวทอยเองเท่าที่พ่อรู้ ทอยขอโทษแม่ของนุ่นไปแล้ว และในส่วนของพ่อแม่ ก็อยากจะขอโทษสังคมและครอบครัวของลูกสะใภ้ ยืนยันไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากจะให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และเรื่องที่เกิดขึ้นพ่อแม่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ และถ้าเห็นหรือรู้เรื่องก่อน ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ทางพ่อและแม่ของทอยได้เดินทางไปที่บ้านเกิดของพ่อน้องนุ่น ที่ ต.ม่วงสามสิบ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี
ซึ่งบรรยากาศภายในบ้านทั้งสองครอบครัว ขอความส่วนตัวในการพูดคุยกัน โดยขอให้ทีมข่าวเก็บภาพอยู่ด้านหน้าของบ้าน ซึ่งการพูดคุยกันระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัว ตามข้อมูลเป็นการมาพบกันเพื่อทำความเข้าใจกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและคุยกันในเรื่องของการดูแลหลาน ซึ่งเป็นลูกของน้องนุ่นกับนายทอย
โดยบรรยากาศภายในบ้าน ระหว่างการพูดคุยจะเห็นว่ามีทางญาติอุ้มลูกของน้องนุ่นกับทอย ออกมาเดินและบางช่วงบางตอนก็จะได้ยินเสียงลูกของนุ่นกับทอยส่งเสียงร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันหลังจากทั้งสองครอบครัวได้คุยกันไปกว่า 2 ชั่วโมง
นายธนกฤต (นามสมมติ) พ่อของทอย และพ่อของน้องนุ่น ได้เดินออกมาขอให้นักข่าวที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านกลับออกไปก่อน เนื่องจากต้องการความเป็นส่วนตัว
โดยเปิดเผยสั้น ๆ กับทีมข่าวว่า ที่เดินทางมาในวันนี้เพื่อมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องนุ่นกับสิ่งที่ลูกชายของตนนั้นทำไป ซึ่งทางครอบครัวของน้องนุ่นก็เข้าใจ ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กทั้ง 2 คนที่มีครอบครัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้โกรธเคืองกัน และได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันแล้ว ส่วนอนาคตของหลานว่าใครจะเป็นคนเลี้ยงนั้นยังไม่ได้มีการพูดคุยในตรงนี้ ซึ่งทางครอบครัวต้องการที่จะนำอัฐิของน้องนุ่น มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้แล้วเสร็จก่อนที่จะพูดคุยกันถึงอนาคตของหลาน ว่าใครจะเป็นคนเลี้ยง
ซึ่งหลังจากพ่อของทอยออกมาพูดคุยกับทีมข่าวเสร็จแล้ว ก็จะเห็นภาพบรรยากาศ ที่พ่อของทอยและพ่อของนุ่น เดินเข้าบ้านไปพร้อมกันและเดินข้างกันไปตลอดจนถึงภายในบ้าน
ด้านนายบรรจง อายุ 59 ปี เป็นลุงของนุ่น บอกว่า บ้านหลังที่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายเข้ามาคุยกันในวันนี้ เป็นบ้านของพ่อของน้องนุ่น ซึ่งน้องนุ่นเกิดและโตที่นี่ โดยหลังจากเรียนจบ หลังจากพ่อแม่แยกทางกัน น้องนุ่นก็เข้าไปหางานทำที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งไปคบกับนายทอย ซึ่งหลังคบกันก่อนจะมีลูก นายทอยก็มีการมาสู่ขอและจัดงานแต่งกันที่บ้านหลังนี้
โดยในระหว่างที่นายทอยเข้ามาใช้ชีวิตเป็นครอบครัวกับน้องนุ่น ยืนยันว่า นายทอยไม่ได้มีท่าทีที่จะเป็นคนรุนแรงอะไรให้เห็น และที่ผ่านมา ในขณะที่น้องนุ่นพานายทอยกลับมาที่บ้าน ก็ไม่เคยเห็นทั้งคู่ทะเลาะกัน ซึ่งตัวนายทอย เท่าที่ผู้ใหญ่ทางบ้านของน้องนุ่นได้สัมผัส ขอยืนยันว่าเขาเป็นคนดี มาเจอผู้ใหญ่ก็ยกมือไหว้และทักทายกันตามปกติซึ่งล่าสุด ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน น้องนุ่นก็ยังพานายทอยกลับมาที่บ้านหลังนี้ แต่วันที่มา ตนเองไม่ได้เข้าไปคุยกับหลาน ซึ่งเท่าที่เห็นนายทอย ก็ยังขับรถคันที่ใช้ก่อเหตุขับมากับน้องนุ่นในวันนั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันที่ทางญาติๆ รู้ว่าหลานหาย ตนเองยังพูดกับญาติๆอยู่เลยว่า เป็นไปไม่ได้ที่นุ่น จะลงรถไปขึ้นแท็กซี่แล้วขาดการติดต่อไป เพราะคนอย่างนุ่น ถ้ามีปัญหาอะไรนุ่น ก็ต้องติดต่อมากับญาติหรือเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด ซึ่งหลังจากพบศพและทางนายทอย รับสารภาพ ยอมรับว่าทางญาติก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้ ซึ่งภรรยาของตน ซึ่งเป็นป้าของนุ่น เอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมกินข้าวกินปลาตั้งแต่รู้ว่าหลานเสียชีวิต